 (N)

"ไปรู้ไปเห็นอะไรก็ให้ถอยจิตเข้ามาสู่คำบริกรรมนี้เสีย แล้วจิตจะสว่างไสว นานไป ๆ ก็จะรู้จักวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่รู้ที่เห็นต่าง ๆ ภายในใจนั้นไปเป็นลำดับ พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาขึ้นมาก็เพราะความแปลกประหลาดของธรรมแสดงฤทธิ์เดชให้เห็นนั้นแล"
เทศน์หลวงตา ณ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
"จริตนิสัยของคนเราไม่เหมือนกัน การกำหนดก็ตามแต่จริตนิสัยชอบ จะนำคำบริกรรมใดมากำกับ มีสติด้วยกันก็แล้วกัน แล้วจิตจะสงบ พอจิตสงบแล้วจะเกิดความสว่างไสวขึ้นภายในใจ ออกจากความสว่างไสวแล้วจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ
เวลานั้นอย่าไปยุ่งกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่จิตเห็นในขณะนั้น ให้สนใจอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว ให้สนใจอยู่กับความสว่างของใจนี้อย่างเดียว อย่าส่งไปตามความสว่าง ซึ่งเราพึ่งปฏิบัติใหม่ยังไม่รู้หน้าที่การงานนี้ว่าผิด ถูก ดี ชั่ว ประการใด จะทำเราให้เขวไปได้ จึงให้รอเสียก่อน จะรู้เห็นตามเหตุผลกลไกอะไร ตามจริตนิสัยชอบมีได้นักภาวนา เป็นได้ เราไม่ต้องไปยุ่ง ไปรู้ไปเห็นอะไรก็ให้ถอยจิตเข้ามาสู่คำบริกรรมนี้เสีย แล้วจิตจะสว่างไสว นานไป ๆ ก็จะรู้จักวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่รู้ที่เห็นต่าง ๆ ภายในใจนั้นไปเป็นลำดับ นี่คือวิธีรักษาตน
จึงได้เตือนไว้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะการภาวนานี้มีความแปลกประหลาดมากทีเดียว มีความรู้ความเห็นความเป็นต่าง ๆ ซึ่งเราเกิดมาไม่เคยเห็นเลย แต่เวลาภาวนาลงไปนี้เห็นได้นะ เห็นได้รู้ได้ นี่แหละที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาขึ้นมาก็เพราะความแปลกประหลาดของธรรมแสดงฤทธิ์เดชให้เห็นนั้นแล นี่อำนาจแห่งธรรมก็แสดงฤทธิ์ขึ้นมาเป็นผลของงาน ให้เรารู้เราเห็นจากความสว่างแห่งใจของเรา ให้พากันทำนะ" |