ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : มีคำถามมาถาม อีกแล้วครับ เกี่ยวกับเบี้ยแก้ ครับ

(D)
พอดีสงสัย เห็นพี่ๆบางท่านบอกว่า เบี้ยแก้ไม่เหมาะกับอาชิพ ค้าขาย ไม่ทราบว่าจริงหรืเปล่าครับพอดีแขวนอยู่ลูกนึงครับ

ช่วยแนะนำด้วยนะครับแขวนอะไรดีเรื่องค้าขาย
ขอบคุณครับ

โดยคุณ iceman28 (1.1K)(2)   [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 08:06 น.]



โดยคุณ R9999 (8.6K)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 08:23 น.] #573056 (1/9)
ไม่จริงครับ
....นางกวัก ซิครับท่าน

โดยคุณ สิทธิโชติ (263)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 09:44 น.] #573162 (2/9)
ปลาตะเพียนหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ครับ

โดยคุณ sontanaa (362)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 14:02 น.] #573418 (3/9)
เอ เบี้ยแก้นี่พกใส่กระเป๋ากางเกงด้มั้ยครับ

โดยคุณ เอ_วัดเสด็จ (5.3K)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 15:07 น.] #573457 (4/9)


(D)
* **** มาลองดูข้อมูลกันครับ พี่ๆหลายท่านอาจคลายความสงสัยนะครับ ****


เบี้ยแก้นั้นมีการสร้างมาแต่โบราณ สรรพคุณในการใช้นั้นก็ตรงกับชื่อคือใช้แก้กันได้สารพัด ใช้ป้องกันคุณไสยต่างๆ ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า ป้องกันยาพิษยาสั่ง อยู่คงเขี้ยวงาทุกชนิด ป้องกันและแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ผลชะงัด


การสร้างเบี้ยแก้

เมื่อหาตัวเบี้ยมาได้แล้ว (เบี้ยพวกนี้ไม่ค่อยพบในบ้านเรา สมัยก่อนต้องหาซื้อตามร้านเครื่องยาจีน เข้าใจว่าเบี้ยที่นำมาใช้นี้จะถูกนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าจากประเทศจีนในอดีต.....) คณาจารย์ผู้สร้างก็บรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดมิให้ปรอทไหลออกมาได้ (ปรอทที่ใช้นี้เป็นปรอท หรือปรอทดินโบราณมีวิธีการจับปรอทโดยนำไข่เน่าไปทิ้งไว้ในน้ำครำไม่ช้าปรอทจะกินไข่เน่าจนเต็ม)

ปรอทมีคุณสมบัติเป็นของเหลวลื่นไหลการจะนำปรอทมาบรรจุเบี้ยแก้ คณาจารย์ผู้สร้างจำต้องมีพระเวทเข้มขลัง เพราะต้องใช้พระเวทฆ่าปรอทหรือบังคับให้ปรอทรวมตัวกันอยู่ในเบี้ยบางราย ถึงกับบริกรรมพระเวทเรียกปรอทเข้าในตัวเบี้ยได้เอง การปิดปากเบี้ยเพื่อกันไม่ให้ปรอทไหลออกมาได้นั้นนิยมเอาชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้วมาอุดใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง

เช่น ผ้าแดง แผ่นตะกั่วแผ่นทองแดง วัสดุที่ใช้หุ้มหรือปิดนี้ก็ต้องลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกกำกับด้วย เช่นเบี้ยแก้หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วจะมีลวดทองแดงขดเป็นห่วง ๓ ห่วง เพื่อให้ใช้เชือกคล้องคาดเอว

เบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขึ้นตอนกรรมวิธี เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้างท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกจนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้วเล่ากันว่า คณาจารย์บางรูปและสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ยคลานได้เหมือนหอย


- ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตรหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูผีปีศาจ อาถรรพณ์เวททำให้มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัยทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข่ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล


- ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาทยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล

- เมื่อเข้าศึกสงครามให้เอาไว้ด้านหน้าสารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล

- ปลิงก็ดี ทากร้ายก็ดี มีในป่ามืด ในน้ำห้วยหนอง คลองบึง มันไม่เก่าะกินเลือดทั้งวัวทั้งควาย ช้างม้าก็ดีแล แก้งูพิษ เขี้ยวขนอน แมวเซา เห่าแก้วก็ดีมิต้องกายมาขบกัดเลยแล


โดยคุณ เอ_วัดเสด็จ (5.3K)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 15:12 น.] #573460 (5/9)


(D)
ถ้าทำเบี้ยในช่วงฤดูร้อน ปรอทจะมีการขยายตัวมาก ทำให้เวลาเขย่าในสภาวะอากาศร้อนก็จะไม่ค่อยได้ยินเสียง "ขลุก" แต่ถ้าในเบี้ยตัวเดียวกั มาเขย่าในช่วงอากาศหนาวปรอทจะหดตัวลงทำให้มีพื้นที่ในตัวเบี้ยเหลือทำให้เขย่าแล้ว ได้ยินเสียง "ขลุก" ได้ชัดเจน

เมื่อกรอกปรอทเสร็จแล้วจะปิดช่องด้วยชันนะโรงใต้ดินที่ปลุกเสกแล้ว
และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดงแล้วจึงนำมาถักเชือกหรือหุ้มทำห่วงไว้ให้
ผูกเอวหรือห้อยคอ ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง

เสียงของเบี้ยแก้แต่ละตัวไม่เหมือนกันบางตัวก็ดังมาก บางตัวก็ดังน้อย บางตัวบรรจุปรอทน้อยเกินไปการกระฉอกของปรอทจะดังคล่องแคล่วดีแต่ก็ขาดความหนักแน่น บางตัวบรรจุปรอทมากไปก็อาจจะทำให้เสียงน้อยหรือไม่ได้ยินเลยก็มี

เค้าว่ากันว่าเบี้ยแก้เป็นวัตถุมงคลชั้นสูงที่เป็นเครื่องเตือนใจให้กลัวภัย
ที่เรามองไม่เห็นหากนำติดตัวไว้ย่อมปกป้องภัยอันตรายได้ทั้งปวงเป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุตม์ กันผีร้ายได้ทุกประการ

วิธีการฟังเสียงปรอทในท้องเบี๊ย...บางท่านเขย่าเหมือนเขย่าขวดยา ซึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด ก็เก๊จะใช้น้ำมันใส่ตะกั่วกลม หรือวัสดุอย่างอื่นที่มีน้ำหนักแทน.. ฉนั้น เวลาจะฟังเสียงปรอทเดิน ควรจะหงายท้องเบี๊ยขึ้น เขย่าในลักษณะของการคลอนเบา ซ้าย-ขวา เพื่อฟังเสียงหรือสัมผัสถึงเวลาปรอทโยนตัว จะประมาณสองครั้ง... ท่านที่เคยเขย่าเต๋าน่าจะรู้ดี

เบี้ยแก้ทางสายอ่างทอง เช่นของหลวงพ่อภักต์ หลวงพ่อโปร่ง เวลาเขย่าเพื่อฟังเสียงปรอทจะดังไม่เหมือนกับสายวัดกลางครับ คือเสียงจะดัง แซดๆ ไม่ดัง ขลุกๆ เนื่องจากเบี้ยสายอ่างทองจะนิยมใส่ตะกั่วตัดเป็นชิ้นเล็กๆใส่ไว้ในเบี้ยแก้ด้วยครับ

เบี้ยแก้สายวัดกลาง เวลาบรรจุปรอทจะบรรจุตัวละหนึ่งบาทตามตำราครับเพราะฉะนั้นน้ำหนักเบี้ยวัดกลางจะค่อน
ข้างใกล้เคียงกัน(น.น.เบี้ย ปรอท ตะกั่ว เชือก ห่วง น.น.รวมๆน่าจะไม่หนีกันมาก) ส่วนพวกตัวเล็กตัวน้อย ตัวใหญ่ยักษ์ ไม่ทราบว่าสมัย

หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม จะมีหรือเปล่าไม่ทราบครับแล้วอีกเรื่องหนึ่งเรื่องการหุ้มตะกั่วที่ เห็นในปัจจุบันที่เห็นทำเป็นแม่พิมพ์ไม้ปั๊มตะกั่วบนล่างแล้วเอามาหุ้มเบี้ยก่อนถัก น่าจะเป็นยุคปลายๆหลวงปู่เพิ่ม หลวงพ่อใบ หลวงพ่อเจือนะครับ ถ้าเป็นยุคเก่าจะใช้วิธีค่อยตีไล่ตะกั่วให้หุ้มเบี้ยครับจะไม่ค่อยเรียบร้อยและจะเห็นรอยยับรอยจีบนะครับ จริงการที่จะดูเก๊แท้จะต้องดูหลายๆองค์ประกอบรวมกันนะครับ ทั้งเรื่องการถัก ขนาดเชือกถัก ความเก่าของรัก ความเก่าของตะกั่ว รอยจาร


เสริมสุดท้ายนะครับ


เบี้ยวัดกลางนั้นเดิมใช้ตะกั่วนมบางหน่อยมาตัดปลายสองด้านแล้วทบเข้ามากันจากนั้นค่อยๆตีไล่ให้หดตัวหุ้มตัวเบี้ยพร้อ มกันนั้นก็จะค่อยๆเอากระดาษทรายขัดไปด้วย เบี้ยรุ่นนี้จะเป็นของเก่าในยุคหลวงปู่บุญและหลวงปุ่เพิ่มยุคต้นๆที่หลวงปู่เจือท่านตีถวายให้ วิธีการตีแบบนี้ยากและใช้เวลามาก ดังนั้นเมื่อมีความต้องการเบี้ยแก้สูงมากขึ้น จึงต้องใช้บล็อกเหล็กมาใช้ช่วยให้การตีเบี้ยง่ายและเร็วขึ้น แต่บล็อกเหล็ก ก็ยังสร้างปัญหาอยู่ เพราะตะกั่วขาดถ้าคนขยายตะกั่วใจร้อน ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาใช้บล็อกไม้แทน กลับมาที่รุ่นของผู้สืบสายของวัดกลางนั้นจริงๆแล้ว ตั้งแต่พระปลัดทอง อาจารย์ของหลวงปู่บุญ ก็ได้ยินว่ามีสร้างขึ้นแล้ว แต่ไม่ปแพร่หลายและตัดสินไม่ได้ รวมทั้งเมื่อหลวงปู่เพิ่มมรณภาพลงแล้วนั้น นอกจากอาจารย์ใบที่สืบทอดต่อมาแล้ว ก็ยังมีหลวงตามูล และหลวงตาเซ็ง ที่สร้างขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทั้งหลวงตามูลและหลวงตาเซ็งนี่ต่างก็เป็นพระที่ทันหลวงปุ่บุญทั้งหมดครับ พอหลวงตาเซ็งมรณภาพลงเมื่อปี ๒๕๓๐ หลวงปู่เจือจึงได้รับภาระการสร้างเบี้ยแก้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนเบี้ยแก้สายอ่างทอง นั้น ต้นสายจริงๆไม่มีใครทราบ แต่ถ้านับความเก่ากันแล้ว หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ กับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน และหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ นี่ใกล้เคียงกันมาก ส่วนหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง เป็นศิษย์ของหลวงพ่อนุ่มครับ สายหลวงพ่อคำ ก็มีหลวงพ่ออ่อน วัดเขียนสืบทอดต่อ นอกจากหลวงพ่อโปร่งแล้ว ก็ยังมีหลวงปุ่บุญ วัดหลวง ก็มาเรียนไปจากหลวงพ่อนุ่มด้วยเช่นกัน ครับ




ส่วนตัวในรูปนี้อยู่ในคอผมเองครับ ****** สรุปว่าอาชีพอะไรก็แขวนเบี้ยแก้ได้ทั้งนั้นครับ ********

โดยคุณ iceman28 (1.1K)(2)   [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 16:03 น.] #573494 (6/9)
ขอบพระคุณครับ ได้ความรู้ใหม่เยอะมากๆๆ ครับ

โดยคุณ sai-9ton (8.6K)  [พฤ. 26 มี.ค. 2552 - 16:54 น.] #573544 (7/9)

โดยคุณ jj2424 (875)  [ศ. 27 มี.ค. 2552 - 09:57 น.] #574209 (8/9)

โดยคุณ พาทิศ (1)  [ศ. 27 มี.ค. 2552 - 19:50 น.] #574911 (9/9)
สวยมากครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www5