 (D)

ปิดตาหลวงพ่อแก้ว
หนังสือที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอก พระยาชลปทานธนารักษ์ (ชลปทาน โหตรภวานนท์) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ 30 มี.ค.2515 มีเนื้อหา เป็นเรื่องพระกริ่งปวเรศ พระปิด
ตาสำคัญ และเครื่องรางของขลัง...สะดุดใจผู้สนใจพระเครื่อง..
หนึ่งในหลายเรื่อง พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว เขียนโดย ผู้ใช้นามปากกา ช.อิสสรานนท์ (พระปลัดชื้น คณะ 5 วัดมหรรณพาราม) นักพระเครื่องรุ่นบุกเบิกวงการ คนสำคัญ
ประวัติหลวงพ่อแก้ว..หาอ่านเป็นหลักฐานไม่ค่อยได้ อาจารย์ชื้นเขียนไว้ชัดเจนว่าหลวงพ่อแก้ว เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี พ.ศ.2396 อายุครบก็อุปสมบทที่วัดปากทะเล (ชาวบ้านเรียกว่า ปากกะเล)
แล้วไปจำพรรษาที่วัดเขาบันไดอิฐ
นอกจากแก่กล้าในวิปัสสนากรรมฐาน กล่าวกันว่าท่านยังเก่งในการช่าง การสร้างวัดสมัยนั้นต้องสร้างกันเอง สมัยที่หลวงพ่อแก้วอยู่วัดพระทรง ต้องเกณฑ์พระภิกษุสามเณร และชาวบ้าน เข้าไปตัดไม้
เองในป่า ต้องพักแรมอยู่ในป่าครั้งละนานๆ กว่าจะได้ไม้มาปลูกศาลาหรือกุฏิสักหลัง
งานโค่นไม้ งานชักลากไม้ในป่า เป็นงานหนักและเหนื่อย หลายครั้งผู้ร่วมงานก็เจ็บป่วย หลวงพ่อแก้วจึงเริ่มสร้างพระปิดตา...ขึ้นเป็นครั้งแรก แจกเป็นกำลังใจให้กับผู้ร่วมงาน
ตอนแจกท่านบอกว่า เอาไว้ป้องกันไข้ป่า ป้องกันภัยจากสัตว์ร้าย หรือโรคร้าย คนที่เอาพระอมไว้ หรือห้อยคอ ลดอันตรายจากไข้และสัตว์ร้ายได้ไม่น้อย ภูตผีปิศาจก็ไม่อาจเข้าใกล้
อาจารย์ชื้นเขียนว่า การสร้างแม่พิมพ์พระปิดตา หลวงพ่อแก้วเอาพระปิดตาวัดท้ายย่านพิมพ์กลาง ที่เรียกว่าพิมพ์กบหรือพิมพ์อึ่งอ่างมาเป็นแบบแต่แก้บางส่วน
พิมพ์เดิมพระท้ายย่านพระนาภี (สะดือ) ลึกบุ๋ม ท่านก็แก้เป็นเต็มนูนขึ้นมานิดหน่อย ด้านหลัง พระท้ายย่านมีตัวอุ ท่านก็แก้เป็นหลังแบบองค์พระ กดลึก แต่ องค์พระจะกลับ
ด้านหลังพระจะกดลึกหรือตื้น อาจารย์ชื้นเห็นพระมามาก ท่านบอกว่า มีจำนวนพอๆกัน บางองค์เป็นหลังยันต์เรียกว่า อุเฑาะทม บางองค์ทำเป็นหลังอูมๆเรียกว่า หลังเบี้ย
ขนาดพิมพ์มีทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ มีสามหน้าก็มี ทำเป็นกริ่งก็มี
องค์ที่มีรูปยาวรี และหลังอูม บางคนเรียกว่า รุ่นแลกซุง อีกคนเรียก รุ่นลากซุง
หลวงพ่อแก้วท่านเป็นนักก่อสร้าง ถ้าใครมาช่วยชักลากซุง จากป่ามาถึงวัด ท่านก็ให้พระ 1 องค์ ใครเอาซุงมาถวายท่าน 1 ท่อน ท่านก็จะให้พระ 1 องค์
เพราะฉะนั้น จะเรียกรุ่นลากซุงก็ถูก จะเรียก รุ่นแลกซุงก็ไม่ผิด
เนื้อพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว รุ่นแรกๆ อาจารย์ชื้น เขียนว่าสร้างด้วยเนื้อทองแดงปนดีบุกบ้าง สร้างด้วยเนื้อปรอทปนดีบุกบ้าง ปนชินบ้าง ปนตะกั่วบ้าง เนื้อดีบุกล้วนๆก็มี เนื้อตะกั่วล้วนๆก็มี ส่วนเนื้อ
ปรอทล้วน จะมีหรือไม่ อาจารย์ชื้นออกตัวว่า ท่านไม่เคยเห็น
พระเนื้อผง..ที่หลวงพ่อแก้วสร้างเป็นรุ่นต่อมา.. วัสดุที่ใช้ ท่านได้จากบริเวณโป่งช้าง หรือโป่งสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ เช่น ดอกบุนนาค ดอกนมแมว ท่านจะรอให้แมลงตอมดอกไม้เสียก่อน
ดอกไม้ที่ไม่มีแมลงตอม.. ท่านว่า ไม่หอม...ไม่เอา
ส่วนผสมต่อมา เรียกว่าไม้ไก่กุก ไม้ที่ไก่เจาะจงไปใช้จงอยปากเคาะ..คนโบราณถือว่า เป็นไม้เสน่ห์มหานิยม ชายได้ก็ใช้ทัดหู หญิงได้ก็ห้อยไว้ที่อก เชื่อกันว่าจะเสริมความสวยความงามขึ้นอีกสิบเท่า
ผงที่ลงเลขยันต์ ที่ลบเก็บไว้ เกสรดอกบัวที่นาคนำเข้าถวายพระอุปัชฌาย์ ตอนเข้าขออุปสมบท ไคลเสมา หรือตะไคร่น้ำเสมาหน้าโบสถ์ ฯลฯ
ส่วนผสมสุดท้าย คือน้ำ หลวงพ่อแก้วใช้ขันรองน้ำที่หยดจากผนังถ้ำ ท่านเรียกว่าหยดน้ำตา หยาดน้ำตก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความอาลัย ในยามที่จะพลัดพรากจากกัน
การพิมพ์พระปิดตาช่วงแรก เมื่อผสมมวลสารที่บดละเอียดกับหยาดน้ำตกแล้ว ก็ผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ กล้วยเล็บมือนางผสมทำให้เนื้อเหนียว ใช้น้ำมันงาใสทาแม่พิมพ์ พิมพ์เสร็จแล้วเอาใส่ถาดผึ่งไว้จน
แห้ง ก็ลงรักปิดทอง
สีเนื้อพระออกทางเหลืองแก่เข้ม หรือสีอ่อนบ้าง สีค่อนข้างดำก็มี สีขาวก็มี
ระหว่างการพิมพ์พระ ปรากฏว่ามีหนุ่มๆสาวๆที่มาช่วย กระทั่งสามเณร มีอันต้องรักใคร่ได้เสียกันหลายคู่ กล่าวกันว่าผงพระของท่านเป็นเหตุ หลวงพ่อจึงเปลี่ยนวิธีผสมเนื้อใหม่ ใช้รักผสมเนื้อให้เหนียว
จะได้ไม่ปลิวไปทำให้ใครต่อใครรักใคร่กันเกินเลย...โดยไม่จำเป็น
สรรพคุณของพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว กล่าวกันว่า ถ้าเป็นผู้หญิงมีพระติดตัว ก็ไม่ต้องผัดหน้า ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ต้องหวีผม ศัตรูมีมากก็จะน้อยลงถ้าศัตรูน้อยก็จะหมดไป
ถ้าเป็นแม่ค้า ท่านท้าว่าถ้าขายของไม่ หมดหาบ ท่านจะซื้อของที่เหลือในหาบ ท่านย้ำหนักหนาว่า พระของท่านแก้จนได้
ข้อพิสูจน์แรก ในตอนที่ท่านชราอ่อนแรงสร้างพระไม่ไหว ใครเบื่อเอาพระไปคืนท่าน ท่านจะให้เงิน 1 ตำลึง เงิน 1 ตำลึงสมัยนั้นมีค่ามาก แต่ก็ยังน้อยกว่า เพราะค่าพระของท่าน แลกซุงได้ หนึ่งท่อน
ระยะหลังๆ ท่านตีราคาพระของท่านเพิ่มขึ้น ถึงองค์ละ 1 ชั่งทองคำ
ถึงวันนี้ พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว หายากมาก.. พิมพ์นิยมสภาพสวยๆ เคยมีข่าวว่ามีคนสู้ราคากันถึงหลักสิบล้าน แต่กระนั้น แม้มีคนต้องการ เซียนพระก็มักบ่นว่า ยังหาของไม่ได้..
ช่วงปลายชีวิต หลวงพ่อแก้วย้ายจากวัดพระทรง เพชรบุรี ไปอยู่ที่วัดเครือวัลย์ ชลบุรี ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่า ท่านมรณภาพในปี พ.ศ.ใด.
ผมมีอยู่องค์หนึ่งครับ เก่ามากรุ่นแรกซุงครับเนื้อออกทองแดง ปน ขาวๆครับ แต่เซียนบางท่านก็บอกว่าเนื้อ อย่างนี้ไม่มีครับ แต่บ้างท่านก็บอกว่ามีการสร้างครับ ขนาดท่านมรณะไม่เห็นมีใครทราบเลยครับ |