ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : หลวงพ่อพิบูลย์ วัดบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี



(D)
ใครพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุมงคลของท่านช่วยชี้แนะด้วยครับ

โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [อ. 15 มิ.ย. 2553 - 13:47 น.]



โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [อ. 15 มิ.ย. 2553 - 13:50 น.] #1188306 (1/8)


(D)
หลวงพ่อพิบูลย์ วัดบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

โดยคุณ ลูกปู่ตาก (2K)  [อ. 15 มิ.ย. 2553 - 14:26 น.] #1188345 (2/8)
ความจริงพระทางบ้านเราก็เยอะแฮะแต่ไม่ค่อยมีประวัติ งั้นต้องลองค้นหาบ้างแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ

โดยคุณ maint (364)  [อ. 15 มิ.ย. 2553 - 19:23 น.] #1188682 (3/8)
ดีครับประวัติของท่านน่าสนใจเหมือนกันครับอ่านใน Web ครับ

โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [พฤ. 17 มิ.ย. 2553 - 13:26 น.] #1190343 (4/8)


(D)
ประวัติ หลวงพ่อพิบูลย์ หรือ หลวงพ่อบ้านแดง
ผู้ก่อตั้งบ้านแดง และ วัดพระแท่นหรือวัดบ้านแดง
( ปัจจุบันคือ วัดพระแท่น ตำบลบ้านแดง อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี )
หลวงพ่อพิบูลย์ นามเดิมว่า พิบูลย์ ( บางข้อมูลก็บอกว่าชื่อ กิมเม้ง ) แซ่ตัน เกิดที่ บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ ( ปัจจุบันคือตำบลพระเจ้า ) อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายสา แซ่ตัน มารดาชื่อ นางโสภา แซ่ตัน มีอาชีพค้าขายและทำนา เคยรับราชการทหารอยู่หลายปี และเคยแต่งงานแต่ไม่ปรากฏชื่อภรรยา ได้ครองเรือนอยู่ด้วยกันหลายปีแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน จึงไปขอบุตรสาวของนายจันทีมาเลี้ยง จนบุตรสาวโตและได้แต่งงานกับชายมีฐานะทัดเทียมกัน ปกติวิสัยของหลวงพ่อตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นคนชอบทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ชอบทำบุญฟังธรรมและสนทนาธรรมอยู่เป็นประจำ ต่อมาเห็นว่าบุตรสาวและบุตรเขยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขแล้ว จึงปรึกษากับภรรยาและบุตรว่าอยากจะบวช ภรรยาและบุตรก็ตกลงให้บวช โดยภรรยามีข้อแม้ว่าจะขอบวชถือศีลแปดเหมือนกัน แต่จะไปคนละทิศละทาง จึงได้ตกลงแยกกันบวชกับภรรยาและยกทรัพย์สินทั้งหมดให้บุตรสาวและบุตรเขย และหลังจากนั้น 7 วัน หลวงพ่อพิบูลย์ก็ได้ชวนนายฮวดซึ่งเป็นเพื่อนรักกันออกบวชที่สำนักพระอุปัชฌาย์ ซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ 45 ปี ( ไม่ปรากฏชื่อพระอุปัชฌาย์ ) บวชอยู่ได้หนึ่งพรรษา จึงได้แยกกับหลวงปู่ฮวดและเดินธุดงค์ไปยังประเทศลาว โดยไปที่ภูอากและภูเขาควาย เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่หลายพรรษา ต่อมาหลวงพ่อก็ได้พบอาจารย์วิเศษซึ่งมีไม้เท้าหนักหนึ่งหมื่น ( 12 กิโลกรัม ) จึงได้เรียนกรรมมัฏฐาน และปฏิบัติธรรมอยู่กับลูกศิษย์รูปอื่น ๆ ของพระอาจารย์ 7 รูป เป็นเวลา 3 ปี
ต่อมาพระอาจารย์จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้ง 7 รูปมาทดสอบ โดยส่งลูกสมอให้คนละลูก ซึ่งถ้าผู้ใดได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วขอให้อมลูกสมอแตก หลวงพ่อพิบูลย์จึงอมลูกสมอปรากฏว่าแตกเหมือนกับลูกศิษย์ของอาจารย์อีก 2 รูป อาจารย์จึงส่งให้กลับมาประกาศพระพุทธศาสนายังประเทศไทย ให้หลวงพ่อพิบูลย์ประกาศพระพุทธศาสนาที่ภาคอีสาน ส่วนอีก 2 รูป ให้ประกาศพระพุทธศาสนาที่ภาคเหนือและภาคใต้ หลวงพ่อพิบูลย์จึงได้เดินทางข้ามลำน้ำโขงมาทางจังหวัดนครพนม และนมัสการพระธาตุพนมแล้วเดินทางมาถึงอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มาตั้งวัดอยู่เกาะแก้วเกาะเกศ ที่วัดแห่งนี้เดิมเป็นสถานที่อาถรรพ์ที่ผู้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้ พอหลวงพ่อพิบูลย์ไปแผ้วถางไม่มีอันตราย ชาวบ้านจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และที่ท่าน้ำบริเวณวัดแห่งนี้มีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ชอบขึ้นมาลักลอบเอาสุนัขและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านไปกินเป็นอาหารอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านจึงไปปรึกษาหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านก็บอกว่าไม่ต้องกลัว มันบ่ยากดอก ( ภาษาอีสานหมายถึงไม่ยากหรอก ) แล้วบอกให้ชาวบ้านเอาเทียนเวียนหัวคนละเล่ม ชาวบ้านได้ทำตาม หลวงพ่อก็นั่งบริกรรมคาถาอยู่สักครู่ก็บอกชาวบ้านว่า ให้คอยดูจะเอาแส้ (ไม้เรียว ) ลงไปไล่ตีมันให้หนีจากวังน้ำนี้ สักครู่หลวงพ่อพร้อมด้วยเทียนที่ถืออยู่กับไม้เรียวก็ลงไปในน้ำ ชาวบ้านเห็นน้ำขุ่นมัวไปหมดประมาณ 2 ชั่วโมง หลวงพ่อก็กลับขึ้นมา ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่เทียนในมือของหลวงพ่อที่ถือลงไปดำน้ำด้วยก็ยังไม่ดับ และสบงจีวรก็ไม่เปียกน้ำ หลวงพ่อบอกชาวบ้านว่ามันยอมแพ้แล้วและจะหนีไปภายใน 7 วัน หลวงพ่อจึงเรียกจระเข้ขึ้นมาให้ชาวบ้านดู จระเข้ก็ขึ้นมานอนนิ่งอยู่ที่ฝั่ง หลวงพ่อก็บอกอีกว่าให้หนีจากลำห้วยแห่งนี้เสียภายใน 7 วัน ( ลำน้ำปาวในปัจจุบัน ) จระเข้ก็คลานลงไปในน้ำ หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีจระเข้อยู่ในลำน้ำปาวนั้นอีกเลย จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งเป็นทวีคูณ หลวงพ่อได้สร้างวัดพอสมควรแล้ว จึงเดินธุดงค์ขึ้นไปหาพระอาจารย์ที่ประเทศลาว พอไปถึงพระอาจารย์ก็บอกว่าวัดที่สร้างนั้นไม่ใช่วัดที่ข้าบอก วัดที่ข้าบอกอยู่ทางทิศเหนือของหนองหานติดกับห้วยหลวง หลวงพ่อจึงเดินธุดงค์กลับมาเพื่อบอกลาพ่อออกแม่ออก ( ญาติโยม ) ทำให้ญาติโยมเกิดความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นหลวงพ่อก็เดินทางเพื่อไปหาวัดที่พระอาจารย์บอกไปสร้างต่อ พอมาถึงบ้านเชียงงาม ( ปัจจุบันอยู่ติดกับอำเภอหนองหาน ) หลวงพ่อได้พบกับโยมคนหนึ่งชื่อโยมเวียง จึงถามหาห้วยหลวง โยมเวียงบอกว่าวันนี้คงเดินทางไปไม่ถึงห้วยหลวงแน่ขอให้จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน เพราะวันนี้เป็นวันเข้าพรรษา หลวงพ่อจึงรับนิมนต์แล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงงามนั้น โยมเวียงจึงพาหลวงพ่อเข้าบ้าน หลวงพ่อจึงถามโยมเวียงว่ามีใครเอาอะไรมาฝากไว้ไหม ทางโยมเวียงก็ตอบว่าเมื่อ 10 ปีก่อนนั้นมีคนเอาไม้เท้ามาฝากไว้ บอกว่าจะมีคนมาเอาเอง โยมเวียงจึงได้นำมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงคลี่ผ้าขาวออกปรากฎว่ามีตัวหนังสือเป็นตัวยันต์เต็มไปหมด ใจความว่าหลวงพ่อพิบูลย์ โยมเวียงจึงถามว่าผู้ที่นำไม้เท้ามาฝากนี้เป็นใคร หลวงพ่ออบอกว่าเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์มาฝากไว้
ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงงามนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเถิก เป็นคนหัวดื้อ เรียนวิชาอาคมมา ( เดียรฉานวิชา ) คือวิชาควายธนู เป็นคนเกะกะระรานชาวบ้าน หลวงพ่อจึงได้ว่ากล่าวตักเตือนแต่นายเถิกกลับเกิดความไม่พอใจและโกรธจัด ครั้งหนึ่งในขณะที่หลวงพ่อกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ นายเถิกได้ปล่อยควายธนูหวังจะฆ่าหลวงพ่อเพราะความโกรธแค้น ควายธนูของนายเถิกได้วิ่งรอบตัวหลวงพ่อแต่ก็ทำอะไรหลวงพ่อไม่ได้ หลวงพ่อจึงเอากระโถนครอบควายธนูนายเถิกไว้ ต่อมาวันรุ่งเช้าหลวงพ่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นชาวบ้านกำลังทำโลงศพใส่นายเถิก ซึ่งชาวบ้านบอกว่าไหลตายตั้งแต่ตอนตีสองเมื่อคืนนี้ หลวงพ่อจึงบอกว่าไม่ต้องทำโลงศพหรอก ให้นายเถิกกินน้ำมนต์หลวงพ่อก็จะฟื้น แต่ต้องให้หลวงพ่อฉันภัตตาหารก่อน ให้เอาขันธ์ 5 ขันธ์ 8 มาให้ พอหลวงพ่อได้ขันดอกไม้และเทียนเป็นขันธ์ 5 ขันธ์ 8 แล้วหลวงพ่อจึงได้ทำน้ำมนต์ แล้วให้ชาวบ้านเอาไปกรอกปากนายเถิก นายเถิกจึงฟื้นขึ้นมาและได้ขอบวชกับหลวงพ่อและเป็นผู้ติดตามหลวงพ่อ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปยังทิศเหนือของอำเภอหนองหาน จนไปถึงห้วยดาน ได้พบจารย์มีเป็นคนแรก ( จารย์หมายถึงคนเคยบวชพระมาก่อนแล้วลาสิกขา ) จึงถามว่ายังอีกไกลไหมจึงจะถึงบ้านไท และจารย์มีจะไปไหน จารย์มีตอบว่าอีกไม่ไกลหรอก ตอนนี้กำลังออกตามหาควาย เพราะควายหายไปหลายวันแล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า บ่ต้องไปตามหามันดอก สีนวดเอามันก็แล่นตามแล้ว ( ภาษาอีสานหมายความว่า ไม่ต้องไปตามหาหรอกสีนวดเอาควายก็จะวิ่งตามมาเอง ) ให้มารับเอาบริขารหลวงพ่อไปที่บ้านไท จารย์มีก็เลยพาหลวงพ่อไปที่บ้านไท ซึ่งก็เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่งเมื่อหลวงพ่อกับจารย์มีเดินทางข้ามห้วยหลวงมาถึงห้วยมันปลา ก็ปรากฏว่าฝูงควายที่จารย์มีตามหาอยู่หลายวันนั้นวิ่งตามมาจริง ๆ หลวงพ่อก็เลยบอกว่ามันตามมาแล้ว จารย์มีจึงเริ่มเห็นอภินิหารของหลวงพ่อ พอไปถึงบ้านไท หลวงพ่อจึงได้ถามชาวบ้านว่ามีวัดเก่าไหมแถวละแวกนี้ ชาวบ้านก็บอกว่ามีแต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ผู้คนเข้าไปไม่ได้แม้แต่จะปัสสาวะก็ไม่กล้าหันหน้าไปทางนั้น ถ้าใครไม่เชื่อจะมีอันเป็นไปถึงตาย หลวงพ่อบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะเจ้าของที่มาแล้ว จากนั้นหลวงพ่อจึงได้ชักชวนชาวบ้านเข้าไปดูในวัดนั้นซึ่งมีสภาพเป็นป่าดอกไม้สีแดง มีซากปรักหักพังของโบสถ์วิหาร ภายในวิหารมีแท่นพระใหญ่แต่ไม่มีพระพุทธรูป มีต้นแดงต้นใหญ่อยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อจึงตั้งชื่อวัดว่า วัดพระแท่น ตามแท่นพระใหญ่ และชาวบ้านไทแผ้วถางได้ประมาณ 6 ไร่ และได้พากันบริจาคหญ้าสำหรับมุงหลังคาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวให้กับหลวงพ่อ เมื่อวันอังคาร แรม 8 ค่ำ ปีชวด พ.ศ. 2443 ( ตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม 2443 ) ด้วยไพหญ้าคา 34 ไพ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ได้พาชาวบ้านไทพัฒนาวัดพระแท่น และได้วางผังเมืองใหม่แล้วชักชวนชาวบ้านไทให้มาอยู่ที่แห่งใหม่นั้น โดยตั้งชื่อว่าบ้านแดง ตามนามต้นไม้แดงใหญ่และหนองแดง หลวงพ่อได้พาชาวบ้านพัฒนาทั้งวัดและบ้าน ใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไรหลวงพ่อก็จะช่วยเหลือหมด จนกระทั่งชื่อเสียงของหลวงพ่อเลื่องลือไปไกล มีราษฎรจากหลายจังหวัดอพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อ จึงได้พาชาวบ้านสร้างศาลาใหญ่ขึ้นโดยเลือกเอาเฉพาะไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้ประดู่ ไม้แต้ หลวงพ่อพาชาวบ้านสร้างศาลาใหญ่ทั้งกลางวันคืน กลางวันก็ผลัดของคนแก่ กลางคืนผลัดของคนหนุ่มสาวช่วยไปลากไม้ โดยหลวงพ่อทำเป็นเกวียนหลังใหญ่ให้หนุ่มสาวไปลากไม้มาทีละ 4-5 ท่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพาชาวบ้านไปตัดต้นตะเคียนยักษ์ที่ริมห้วยหลวง แต่ไม้กลับล้มลงไปในลำห้วยหลวง ซึ่งน้ำลึกประมาณ 3-4 เมตรจึงไม่มีใครกล้าลงไปตัดไม้นั้น หลวงพ่อจึงดำน้ำลงไปตัดคนเดียว ประมาณ 2 ชั่วโมง หลวงพ่อก็เอาไม้ตะเคียนใหญ่ขนาดวัดรอบ 3 วา 2 ท่อน ยาวท่อนละ 12 ศอก โดยที่ผ้าสบงจีวรไม่เบียกน้ำเลย ต่อมาเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วหลวงพ่อก็พาชาวบ้านสร้างที่พักอาศัย ให้ชาวบ้านมาขออยู่รอบวัดทางทิศตะวันออกหลังใหญ่ 1 หลัง ทำมีด ทำจอบ ทำเสียม ไว้เป็นกองทุน คอยแจกจ่ายชาวบ้านที่มาขอพึ่งใบบุญ และทำธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบือไว้คอยแจกจ่ายแก่คนยากจนและได้บอกกับชาวบ้านว่า บ้านแห่งนี้จะเป็นเมืองในอนาคต จึงชักชวนชาวบ้านวางผังเมือง โดยแบ่งเป็นสถานที่ราชการในอนาคตไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่ ส่วนที่อยู่บ้านก็แบ่งเป็นคุ้ม ๆ ให้อยู่อย่างมีระเบียบ หลวงพ่อเป็นพระผู้มีบารมีอันสูงส่ง จึงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ท่านเคยบอกชาวบ้านว่า บ้านแดงแห่งนี้จะถูกทางการยกฐานะการปกครองขึ้นเป็นตำบลและอำเภอในวันข้างหน้า ( ซึ่งต่อมาความจริงก็ปรากฏว่าบ้านแดงแห่งนี้ถูกยกขึ้นเป็น ตำบลบ้านแดง จากนั้นก็ยกฐานะขึ้นเป็น กิ่งอำเภอพิบูลย์รักษ์ และเป็น อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบัน เป็นจริงตามที่ท่านเคยบอกกล่าวชาวบ้านเอาไว้ทุกประการ ) และการห่มจีวรของพระภิกษุสามเณรก็ให้ห่มเหมือนพระอุปัชฌาย์บวชให้ ( คือนิกายเดิม ) จนทำให้ทางราชการบ้านเมืองคณะสงฆ์เข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อเป็นกบฏ ซ่องสุมอาวุธ จึงได้จับหลวงพ่อนำไปถ่วงน้ำที่เกาะสีชังจังหวัดภูเก็ตนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน คิดว่าคงมรณภาพแล้วจึงได้นำขึ้นมา แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเพราะหลวงพ่อยังไม่มรณภาพเลย และผ้าสบงจีวรที่หลวงพ่อนุ่งห่มก็ไม่เปียกน้ำเลย จึงทำให้ทางราชการเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้นิมนต์ให้อยู่ที่นั่นนานถึง 3 ปี จึงส่งหลวงพ่อกลับวัดพระแท่นบ้านแดงตามเดิม ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน เมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อกลับมาก็พากันดีอกดีใจ จึงขอบวชชีพราหมณ์ให้ ฝ่ายพระสงฆ์บอกว่าผิดกฎหมายของสงฆ์ จึงนำตัวหลวงพ่อไปอีกครั้ง โดยนำไปไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์เจ้าคณะมณฑลอุดร ขณะที่อยู่วัดนั้นก็ถูกบังคับให้สึกห้ามไม่ให้ออกบิณฑบาต แต่หลวงพ่อไม่ทำตามและยังมีราษฏรที่มีความศรัทธา นำเอาเงินทองไปถวายไม่ขาดระยะ ขณะอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ 15 พรรษา ได้สร้างกุฏิ 55 หลัง และฉางข้าวอีก 2 หลัง เงินที่ได้รับบริจาคยังให้ลูกศิษย์ คือหลวงโชติ ( ปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว อายุได้ 85 ปี ) ซื้อโคกระบือ แจกจ่ายชาวบ้านอยู่ตลอด ครั้งหนึ่งที่กุดแห่บ้านนานกหงส์ ได้มีฝูงจระเข้เข้ามาอยู่อาศัยในหนองน้ำมากมาย จนชาวบ้านไม่กล้าลงไปทำมาหากินในหนองน้ำนั้น จึงได้นิมนต์หลวงพ่อไปปราบให้ หลวงพ่อจึงพาชาวบ้านไปถึงกุดแห่ ทำพิธีกรรมเสร็จแล้วก็ถือเทียนและแส้ลงไปในหนองน้ำ หลวงพ่อบอกชาวบ้านว่าอยากเห็นเรือทองคำไหม เมื่อชาวบ้านบอกว่าอยากเห็น หลวงพ่อก็ล้วงมือลงไปในน้ำแล้วจับเรือทองคำยาวประมาณ 3 เมตรขึ้นมา เมื่อชาวบ้านเห็นเรือทองคำแล้วก็ปล่อยลงไปในน้ำเหมือนเดิม แล้วหลวงพ่อก็ดำน้ำลงไปนานประมาณ 1 ชั่วโมง ชาวบ้านเห็นน้ำขุ่นมัวไปหมด พอหลวงพ่อขึ้นมาก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะเทียนที่หลวงพ่อถือดำน้ำลงไปด้วยยังไม่ดับและสบงจีวรก็ไม่เปียกน้ำ หลวงพ่อบอกว่าอีก 7 วัน ก็ให้ชาวบ้านลงไปหาปลาได้ ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหนองน้ำแห่งนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามีจระเข้อีกเลย เมื่อครั้งที่เกิดสงครามอินโดจีน ปี พ. ศ.2486 ท่านเคยแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในด้านพุทธคุณ ฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินขับไล่มาทิ้งระเบิดถล่มนาเกลือหมายถล่มเมืองอุดรธานีให้แหลกเป็นจุณ หลวงพ่อสามารถทำนายได้ว่าวันนี้จะมีการทิ้งระเบิดที่ไหน กี่ลูก หลวงพ่อก็รู้หมด แต่หลวงพ่อบอกว่าอย่าตกใจ เพราะลูกระเบิดนั้นจะไม่ระเบิด ซึ่งก็เป็นจริงดังหลวงพ่อบอกทุกประการ เมื่อเครื่องบินมาทิ้งระเบิดหลวงพ่อได้นั่งภาวนากำหนดจิตปัดเป่าภัยร้าย ลูกระเบิดที่ทหารฝรั่งเศสทิ้งลงมาจากเครื่องบิน แทนที่จะตกในเขตชุมชนกลับมาตกในหนองประจักษ์ฯ ที่กลางเมืองอุดรธานี และไม่ระเบิดแม้แต่ลูกเดียว ชาวเมืองอุดรธานีจึงปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าหลวงพ่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านเคยรักษาคนป่วย คนบ้า คนถูกคุณไสย์และผีปอบเข้า ด้วยน้ำพระพุทธมนต์จนหายเป็นปกติทุกราย มีชาวบ้านบางคนเห็นท่านทำความเพียร จนตัวท่านลอยขึ้นไปถึงหลังคาพระอุโบสถ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 หลวงพ่อก็อาพาธด้วยโรคชราภาพ มีลูกศิษย์ลูกหาคอยดูแลรักษาปรนนิบัติ เป็นต้นว่า หลวงปู่หนู หลวงปู่โชติ พร้อมญาติโยม ตอนที่หลวงพ่อจะมรณภาพนั้นก็ได้บอกให้ลูกศิษย์ออกไปอยู่ข้างนอกและให้ปิดประตูไว้ เวลา 5 ทุ่ม ก็ปรากฏว่าได้มีแสงสว่างเหนือกุฏิ ลูกศิษย์จึงได้เปิดประตูเข้าไปและพบว่าท่านได้มรณภาพแล้ว หลวงพ่อพิบูลย์ได้มรณภาพในท่าสหไสยาสน์ สิริรวมอายุได้ 135 ปี บรรดาลูกศิษย์เมื่อทราบข่าวจึงพากันมาขอรับศพกลับคืนวัดพระแท่นบ้านแดง แต่เกิดปัญหาก็เลยต้องขอความร่วมมือกับทางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพศรัทธาในตัวท่านให้ช่วย ชาวบ้านและลูกศิษย์จึงได้นำศพกลับคืน โดยชาวบ้านนำเกวียนมา 100 เล่ม แห่ศพหลวงพ่อกลับคืนที่วัดพระแท่น และได้บรรจุศพหลวงพ่อไว้นานหลายปี ต่อมา เจ้าอธิการคำพันธ์ คันธะโร ได้พาชาวบ้านสร้างเจดีย์เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2504 จึงได้ทำพิธีเผาศพ เมื่อปี พ.ศ. 2504 และในพิธีเผาศพก็ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ เช่น ไฟไหม้กงเกวียนที่บรรจุศพของท่านจนต้องใช้น้ำรดตลอด เป็นต้น แสดงว่าคำทำนายของหลวงพ่อถูกต้องหมดทุกอย่างตามที่ทำนายและวางผังไว้ทุกประการ
หลวงพ่อพิบูลย์ท่านมรณภาพ หรือ ละสังขาร เมื่อวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ. 2489 ณ วัดโพธิสมภรณ์ในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี
เมื่อ พ.ศ. 2504 เผาศพ จึงได้เก็บอัฐินำมาบรรจุที่เจดีย์ หลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้วในวันพระชาวบ้านก็มักจะเห็นลำแสงพุ่งออกจากยอดพระเจดีย์ซึ่งบรรจุอัฐิของท่านไว้ แล้วลำแสงก็ค่อยเคลื่อนย้ายไปลงที่ต้นโพธิ์ใหญ่กลางหมู่บ้าน ต่อมาไม่นานลำแสงก็จะพุ่งขึ้นจากต้นโพธิ์ลอยกลับคืนมายังเจดีย์อยู่เป็นประจำชาวบ้านมักจะเรียกสิ่งนี้ว่าพระธาตุหลวงปู่เสด็จ
เมื่อ พ.ศ. 2507 หลวงพ่อชมได้พาชาวบ้านหล่อรูปเหมือนท่านมาประดิษฐานไว้ในพระวิหาร พร้อมกับสร้างเหรียญรุ่นแรก ( ห้าเหลี่ยมมีรูปฝ่ามือฝ่าเท้า ) รุ่นแรก จำนวน 4,000 เหรียญ แยกเป็นเหรียญทองแดงจำนวน 2,000 เหรียญ และ เป็นเหรียญทองเหลืองอีกจำนวน 2,000 เหรียญ
เหรียญหยดน้ำรุ่นแรก สร้างปี พ.ศ. 2485 ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ เนื้อทองแดง ถ้าสภาพสมบูรณ์ ยุคก่อนราคาตั้งแต่ 20,000-50,000 บาท ปัจจุบันราคาเกินแสนหรือหลายแสนแล้ว แต่ก็ยังหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าประเมินราคาไม่ได้ แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่มีไว้ครอบครอง
เหรียญหลวงพ่อพิบูลย์ที่หลวงปู่ชมเป็นผู้สร้าง พ.ศ. 2507 คือ
รุ่น 2 ( ห้าเหลี่ยมรุ่นแรก ) มีทั้งเนื้อทองแดงและทองเหลือง เป็นเหรียญที่นิยมมากเนื่องจากตำรวจที่ห้อยลงไปปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดภาคใต้รอดกลับบ้านทุกคน จึงมีของปลอมออกมาเป็นจำนวนมาก
เหรียญหยดน้ำจะไม่มีใครนำมาให้บูชาเนื่องจากหายากมาก เอาง่ายๆว่าขนาดคนในพื้นที่แค่ได้เห็นเป็นบุญตาก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
แม้หลวงพ่อจะละสังขารไปกว่า 60 ปีแล้วก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังเอื้อประโยชน์ให้กับชาวบ้านแดงหรือชาวอีสานเหมือนเดิม สามีภรรยาคู่ไหนแต่งงานกันมานานแล้วไม่มีลูกสืบสกุล ก็ให้จัดแต่งดอกไม้ธูปเทียน “ ขันธ์ห้า ” ไปกราบไหว้ขอลูกจากท่าน จากนั้นไม่นานภรรยาก็จะตั้งครรภ์และมีลูกสืบสกุลทุกรายไป แม้แต่ลูกหลานจะไปสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยหรือหนุ่มฉกรรจ์จะไปทำงานต่างประเทศ วัว ควาย สิ่งของมีค่าหาย เพียงแต่แต่งดอกไม้ธูปเทียน “ ขันธ์ห้า ” ไปกราบไหว้ขอพรจากรูปเหมือนของท่าน ก็จะสมหวังตามความปรารถนาทุกราย นี่มิใช่นิทานหลอกเด็กหรือกล่าวขานเกินจริง แต่ผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา ต่างก็เคยพิสูจน์ได้ผลมาแล้ว

หมายเหตุ
ในหนังสือ “ ก่อนจะมาเป็นโรงพยาบาลอุดรธานี ” โดย วัฒนา ช้างรักษา ได้บันทึกเป็นประวัติของโรงพยาบาลอุดรธานีไว้ว่า( ข้อความตามต้นฉบับทุกประการ )
“ ก่อนสงครามอินโดจีน และสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น เจ้าเมืองอุดรธานีท่านหนึ่ง ได้มีคำสั่งให้ไปจับหลวงปู่พิบูลย์ (หลวงปู่บ้านแดง) ต.บ้านแดง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ปัจจุบันคือ ต.บ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี มาทำการสอบสวนในข้อหา “ ก่อกบฏผีบุญ ” ทั้งนี้เพราะหลวงปู่ท่านมีความสนใจในเรื่องธรรมปฏิบัติจนสามารถนั่งภาวนาอยู่ในโบสถ์วัด ต.บ้านแดง จนตัวลอยขึ้นถึงเพดานโบสถ์ มรรคทายกวัดและชาวบ้านเห็นก็เกิดข่าวร่ำลือไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้หลวงปู่ท่านจะสั่งให้ชาวบ้านไปตัดไม้ต้นใหญ่โอบหลายคนจึงรอบ ที่ริมฝั่งห้วยหลวง แต่ต้นไม้ได้หลุดลงไปในห้วยไม่สามารถนำขึ้นได้จึงมาแจ้งให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่ก็บอกชาวบ้านว่า เอาไว้นั้นละ จักหน่อยจะไปเอาขึ้นดอก เมื่อชาวบ้านกลับไปกินข้าวกลางวัน หลวงปู่ก็ได้ไปที่ต้นไม้ที่ชาวบ้านตัดตกลงไปในลำห้วยหลวงไม่ทราบว่าไปทำอะไร จนกระทั่งชาวบ้านกลับไปและเห็นต้นไม้ถูกยกขึ้นมาขึ้นห้างเตรียมเลื่อยที่ริมลำห้วย จึงพากันแปลกใจ หลวงปู่เอาขึ้นมาได้ยังไง จึงไปสอบถาม หลวงปู่ก็บอกว่า เทวดาเขามาช่วยยกขึ้นมาตามที่พวกเอ็งเห็นนั่นแหละชาวบ้านจึงจัดการเลื่อยได้ไม้แปรรูปมาสร้างวัดสร้างกุฏิอาศัย
ชื่อเสียงของพระปฏิบัติอย่างหลวงปู่บ้านแดง ดังออกไปทุกสารทิศ สร้างความแปลกใจถึงผู้นำประเทศอย่าง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านจึงคิดว่า หลวงปู่บ้านแดง เป็นพวกผีบุญและได้รับรายงานจากเจ้าเมืองว่า จะก่อการกบฏด้วย จึงสั่งจับ หลวงปู่ ไปถ่วงน้ำทะเลที่ จ.ภูเก็ต เป็นเวลา 7 วัน เมื่อเอาหลวงปู่ขึ้นมาก็ปรากฏว่า หลวงปู่ไม่ตาย จอมพล ป.ทราบเรื่อง จึงเห็นว่าหลวงปู่ไม่ใช่ “ ผีบุญ ” แต่เป็น “ ผู้มีบุญ ” มาโปรดสัตว์โลก จึงไปขอหลวงปู่ว่า ให้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ พิบูลย์ ” ตามนามพระราชทานของท่านว่า “ หลวงพิบูลย์สงคราม ” หลวงปู่รับคำเพราะท่านไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรมกับใคร จากนั้นหลวงปู่ก็กลับบ้านแดง ต่อมาก็เกิดมีเรื่องลือว่า หลวงปู่จะก่อการกบฏผีบุญอีก คราวนี้เจ้าเมืองเองเป็นผู้สั่งให้จับหลวงปู่ไปให้ “ หลวงปู่ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ” สอบสวนที่วัดโพธิสมภรณ์ เมืองอุดรธานี ตลอดเส้นทางบ้านแดง – สามพร้าว – เมืองอุดรธานี ท่านถูกตำรวจคนที่ไปจับกุมท่านเตะถีบมาตลอดทาง สุดท้ายกรรมตามสนอง ตำรวจนายนั้นก็มีอันเป็นไปโดยเป็นบ้าวิกลจริตจนกระทั่งตาย
พอมาอยู่วัดโพธิสมภรณ์ แต่ละวันหลวงปู่ก็ได้ออกช่วยชาวบ้านที่ถูกผีปอบเข้า ผีสิง ป่วยไข้ โดยท่านใช้ยาสมุนไพร และธรรมะเข้ารักษา จนชาวบ้านหายป่วย และชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือออกไป ชาวบ้านที่ป่วยไข้ ผีปอบเข้า ผีสิง ถูกปราบเรียบ คนป่วยยิ่งแน่นทุกวัน ท่านจึงไปให้ชาวบ้านสร้างกระตอบรักษาขึ้นมามากมายตรงบริเวณโรงพยาบาลอุดรธานีในปัจจุบัน
ต่อมาได้เกิดสงครามอินโดจีน พวกฝรั่งเศสจากประเทศลาวได้ขับเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่อุดรธานี หลวงปู่ก็ได้นั่งภาวนา เพื่อปัดเอาลูกระเบิดที่จะทิ้งลงใส่ศาลากลางจังหวัด และจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ไปตกที่บริเวณหนองประจักษ์ โดยไม่มีลูกระเบิดลูกใดระเบิดเลย นับเป็นเรื่องที่ร่ำลือในยุคนั้นมากมาย ต่อมาเมื่อหลวงปู่ พ้นข้อหาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ชาวบ้านแดง ก็นำคาราวานขบวนเกวียนนับเป็นร้อยมารับหลวงปู่กลับบ้านแดง
เมื่อบ้านเมืองสงบ ในขณะนั้น น.พ.เกษม จิตตยโศธร ลูกชายของ พระยาอุดร จบการเรียนแพทย์มาจากกรุงเทพ ฯ จึงได้มีความดำริจัดตั้งโรงพยาบาลอุดรธานีขึ้นมา โดยสร้างขึ้นที่บริเวณหลวงปู่บ้านแดง สร้างกระต๊อบนับหลายสิบหลังรักษาคนป่วยไข้ ผีปอบเข้า ผีสิง และโรงพยาบาลอุดรธานี ก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น

โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [พฤ. 17 มิ.ย. 2553 - 13:30 น.] #1190346 (5/8)


(D)
ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเหรียญ
เหรียญห้าเหลี่ยมทุกรุ่น เป็นการสร้างหลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพแล้วทั้งนั้น คนสร้างเหรียญห้าเหลี่ยมรุ่นแรกปัจจุบันบวชเป็นพระอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ ลองไปถามหาหลวงตาชมดู ท่านเป็นคนสร้างเหรียญห้าเหลี่ยมรุ่นแรกประมาณปี พ.ศ. 2511-2512 หลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพที่วัดโพธิสมภรณ์ มีทั้งเหรียญเนื้อทองแดงและเหรียญเนื้อทองเหลือง ที่เรียกว่าเหรียญฝาบาตร รวมแล้วประมาณ 3,000 เหรียญ ศิษย์หลวงพ่อพิบูลย์ที่ติดตามหลวงพ่อไปถึงกรุงเทพฯ และ ถูกถ่วงน้ำที่ใกล้ๆ วัดอรุณฯมีสองรูป ซึ่งขณะนั้นทั้งสองรูปยังเป็นสามเณรอยู่ คือ หลวงปู่โชติ ธมธโร ซึ่งเป็นผู้ปลุกเศกเหรียญห้าเหลี่ยมทั้งสองรุ่น ออกตะกรุดหลายขนาน สืบทอดวิชาโดยตรงจากหลวงพ่อพิบูลย์ หลวงปู่เสริม ชัยยธัมโม วัดป่าบ้านดงยาง บ้านแดง อำเภอหนองหาน ศิษย์หลวงพ่อพิบูลย์อีกองค์หนึ่งที่น้อยคนจะรู้จัก เป็นพระธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ท่านสามารถล่วงรู้วาระจิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ และ มุ่งหวังหลุดพ้นมากกว่าเรื่องวิชาอาคม แต่ในด้านนี้ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลวงปู่โชติ ท่านเคยออกพระสมเด็จอยู่รุ่นหนึ่งแจกแก่ลูกหลานบ้านดงยาง ประมาณ 18 ปีที่ผ่านมา พุทธคุณเยี่ยม ขนาดเหยียบหลังงูเห่างูเห่าไม่ยอมชูคอเลย ทั้งสองรูปต่างมรณภาพไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง

“ หนังสืออนุสรณ์ ที่ระลึก งานพระราชทานพลิงศพ หลวงปู่โชติ ธมมธโณ ”
วัดพระแท่น ตำบลบ้านแดง อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
ข้อมูลคัดลอกจากหนังสือดังกล่าวข้างต้น หน้า 35
“ หลวงปู่พิบูลย์ เดิม ชื่อ นายกิมเม้ง แซ่ตัน เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายสา มารดาชื่อ นางโสภา นามสกุล แซ่ตัน หลังจากใช้ชีวิตครองเรือนแล้วไม่มีบุตร ได้ขอบุตรมาเลี้ยงจนโตและแต่งงานให้แล้ว ยกสมบัติทั้งหมดให้กับลูกสาวคนดังกล่าว หันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร ไม่มีผู้ทราบว่าท่านมีฉายานามว่าอย่างไร และ ไม่ปรากฏว่า พระอุปัชฌาย์ท่านเป็นใครเพราะไม่ได้มีการบันทึกไว้ จัดเป็นพระอาคมขลัง เก่งทางทำน้ำมนต์ ตะกรุด มีหลวงปู่โชติ ธมมธโร และ หลวงปู่เสริม ชัยยธรรมโม เป็นผู้สืบทอดวิชาอาคมท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่บ้านไท หรือ บ้านแดง หรือ อำเภอพิบูลย์รักษ์ อยู่หลายปี มีการวางหลักปักฐาน ตั้งธนาคารวัวควายให้ชาวบ้านได้ยืมไปไถนา และวางผังเมืองบ้านแดงไว้เป็นอย่างดี ทำให้ชาวบ้านศรัทธาท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้ทางราชการซึ่งในขณะนั้นกำลังเกรงกลัวต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ออกปราบท่าน โดยกล่าวโทษท่านเช่นเดียวกับครูบาศรีวิชัยแห่งเมืองเชียงใหม่ ว่าเป็น ผีบุญ หลวงปู่เสริมเล่าให้ฟังว่า มีนกเหล็กบินมา และ มีผู้คนล้มตายเพราะกระสุนที่นกเหล็กพ่นใส พระเณรวิ่งหนีกันว้าละหวั่น ท่านถูกจับโดยทางราชการสองครั้ง ถูกนำไปถ่วงน้ำที่จังหวัดชลบุรีแต่ไม่ตาย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีจึงปล่อยตัวท่านมา โดยจัดผู้คนนำส่งท่านถึงจังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชในปัจจุบัน ครั้งที่สองท่านถูกควบคุมตัวไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมืองอุดรธานี จนท่านมรณภาพ
มรณภาพเมื่อวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ. 2489 ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. 2507 หลวงพ่อชมได้พาชาวบ้านหล่อรูปเหมือนท่านมาประดิษฐ์ไว้ในพระวิหาร พร้อมสร้างเหรียญรุ่นแรก ( ห้าเหลี่ยมมีรูปฝ่ามือฝ่าเท้า )

เมื่อไม่กี่ปีมานี้เคยมีคนนำเหรียญห้าเหลี่ยมของหลวงพ่อไปห้อยที่คอวัวแล้วยิงด้วยปืนแม็กนั่ม .357 วัวถึงกับทรุดคาที่ แต่ปรากฏว่าลูกปืนไม่ระคายผิววัวเลยแม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าความคงกระพันของเหรียญท่านยังเป็นอมตะอยู่ทุกยุคสมัย

เส้นทางการคมนาคม การเดินทางเข้าสู่ตำบลบ้านแดง
สามารถเดินทางเข้าสู่ตำบลได้ 4 ทาง คือ
1. จากอุดรฯ - อ.หนองหาน - ต.ดอนกลอย - ต.บ้านแดง
2. จากอุดรฯ - ต.นาข่า - ต.สุมเส้า อ.เพ็ญ - ต.บ้านแดง
3. จากอุดรฯ - ต.สามพร้าว - ต.สุมเส้า อ.เพ็ญ - ต.บ้านแดง
4. จากอุดรฯ - ต.สามพร้าว - ต.ดอนกลอย - ต.บ้าน
( เดิม ตำบลบ้านแดง ขึ้นอยู่กับ ตำบลสร้อยพร้าว อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี )
สำนักงาน อบต.บ้านแดง โทร. 042-258179
อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอข้างเคียง ดังนี้
• ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอเพ็ญ และ อำเภอบ้านดุง
• ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอทุ่งฝน
• ทิศใต้ ติดต่อกับ อำเภอหนองหาน
• ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอเพ็ญ

โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [พฤ. 17 มิ.ย. 2553 - 13:36 น.] #1190355 (6/8)


(D)


ตัวอย่างเหรียญห้าเหลี่ยมหลวงพ่อพิบูลย์ เนื้อทองฝาบาตร(ขออนุญาตเจ้าของพระด้วยนะครับ)

โดยคุณ กรรมการ (57)(1)   [พฤ. 17 มิ.ย. 2553 - 13:41 น.] #1190366 (7/8)


(D)
ตัวอย่างเหรียญหยดน้ำหลวงพ่อพิบูลย์ เนื้อทองแดง สุดยอดของความหายาก ปี ๒๔๘๕ (ขออนุญาตเจ้าของพระด้วยนะครับ)

โดยคุณ notesanko (1.3K)  [ส. 19 มิ.ย. 2553 - 04:26 น.] #1191987 (8/8)
^
^
^
^
^
^
^
สุดยอดของความหายากจริงครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM