(0)
๙๙๙... เหรียญหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี รุ่นแรก ปี 2485 หลังยันต์ (มีตัว อ ) ออกที่วัดกุยบุรีเลย นิยมหายากสุดๆ (ชาวประจวบฯห้ามพลาดนะครับ) ...๙๙๙








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง๙๙๙... เหรียญหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี รุ่นแรก ปี 2485 หลังยันต์ (มีตัว อ ) ออกที่วัดกุยบุรีเลย นิยมหายากสุดๆ (ชาวประจวบฯห้ามพลาดนะครับ) ...๙๙๙
รายละเอียดเหรียญหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี รุ่นแรก ปี 2485 หลังยันต์ (มีตัว อ) ออกวัดกุยบุรี เหรียญรุ่นนี้มีการปลุกเสกพิธีดีมากๆ มีเกจิอาจารย์ดังๆเข้าร่วมพิธี เช่น หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน จ.ชุมพร,หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลักจ.ประจวบฯ ,หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และ อาจารย์ สายภาคใต้ยุคเก่าอีกหลายท่าน
๙๙๙_________ใบรับประกันพระเครื่อง_________๙๙๙
พระเครื่องทุกองค์ของทางร้าน ( เอก ประจวบฯ ) - รับประกันความแท้ตลอดชีพ + ความพอใจ 7 วัน และทางร้านเราจะเขียนใบรับประกันพระเครื่องให้ทุกองค์ครับ
/////////___ข้อดีของใบรับประกันพระเครื่องที่ผมเขียนให้___/////////
1.เก็บไว้ใช้เป็นหลักฐาน ในการซื้อขาย ท่านสามารถอ้างอิงได้เมื่อเกิด ปัญหา
2. เพื่อความสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย และเก็บไว้ให้ลูกให้หลานดูได้
3. ไม่จำกัดราคาพระเครื่อง 10 บาท - 1 ล้าน บาท ทางร้านเราก็มีใบรับประกันพระครื่องให้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
หมายเหตุ : ผมยินดีรับผิดชอบพระเครื่องทุกองค์ที่ลูกค้าเช่าไป แล้วเกิดปัญหาขึ้น ในราคาเต็ม
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน25,000 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูล - 17 พ.ย. 2552 - 18:06:44 น.
วันปิดประมูล - 26 พ.ย. 2552 - 20:07:19 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลเอกประจวบฯ (1.4K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 17 พ.ย. 2552 - 18:07:13 น.
.


.


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 17 พ.ย. 2552 - 18:07:33 น.
.


.


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 17 พ.ย. 2552 - 18:11:17 น.

สวัสดีครับ พี่ๆเพื่อนๆสมาชิกชาว g-pra ทุกท่าน สำหรับเหรียญนี้ผมขอบอกเลยว่า " หายากมากจริงๆ " ปีหนึ่งเจอไม่เกิน 3 เหรียญ เผลอๆ เจอแล้วไม่ได้เป็นเจ้าของอีกด้วยซ้ำ เพราะคนพื้นที่หวงแหนกันมาก เค้านับถือหลวงพ่อในกุฏิเปรียบเสมือนเป็นพระเจ้ากันเลยทีเดียวครับ(อ.กุยบุรี) เรื่องประสบการณ์ครอบคลุมครบทุกด้านครับ ท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โทร.084-7572-999


ข้อมูลเพิ่มเติม 4 - 17 พ.ย. 2552 - 18:17:29 น.

หลวงพ่อในกุฏิวัดกุยบุรี เป็นเกจิอาจารย์ผู้วิเศษองค์หนึ่งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หรือเป็นอาจารย์ผู้วิเศษทางภาคใต้ก็ว่าได้ ตามตำนานและคำบอกเล่ากันต่อๆ มาว่า เดิมท่านชื่อมาก หรือบุญมาก เป็นชาวปักษ์ใต้ แต่ไม่ทราบหรือปรากฏแน่นอนว่าท่านมีถิ่นฐานอยู่ที่ไหน ได้มีเรื่องเล่ากันมาเป็น ๒ นัยด้วยกันคือ นัยหนึ่งว่าเป็นคนตำบลนาทุ่งอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร อีกนัย หนึ่งว่า เป็นชาวหลังสวนนั้นเอง ทั้ง ๒ นัยที่ว่ามานี้ ก็หาได้มีหลักฐานปรากฏชัดเจนแน่นอนไม่ แต่ที่แน่ นอนที่สุดนั้น ก็คือ ท่านเป็นชาวปักษ์ใต้แน่นอน หลวงพ่อในกุฏิ มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันมาทั้งหมด ๔ คนด้วยกัน มีพี่ชาย ๒ และมีน้องสาว ๑ คน ส่วนตัวท่านเป็นลูกคนที่ ๓ ของบิดามารดาท่านเกิดในราวปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๐๔ สมัยแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พี่ชายของท่านคนหนึ่งชื่ออินทร์ คนรองชื่อม่วง ส่วนน้องสาวคนสุดท้องนั้นว่ากันว่าชื่อพริ้มเพรา ตระกูลของหลวงพ่อเป็นตระกูลที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก


ผู้ชายในตระกูล เมื่อมีอายุครบ ๒๐ ปีแล้วจะต้องบวชกันทุกคน พี่ชายคนโตที่ชื่ออินทร์ เมื่อได้มีอายุครบก็บวช คนรองที่ชื่อม่วง ครั้นเมื่ออายุครบก็บวช หลวงพ่อในกุฏิเองก็บวชเช่นเดียวกัน สันนิษฐานว่าหลวงพ่อในกุฏิ บวชในราวปี พ.ศ.๒๓๒๔ หรือ พ.ศ.๒๓๒๕ ใน ๒ ปีนี้ ปีฉลู หรือปีขาล นั่นเอง


ตระกูลของหลวงพ่อในกุฏิทั้ง ๓ พี่น้อง เมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษาเล่าเรียนกันมา ตามยุคตามสมัย ที่มีการศึกษาอยู่ในสมัยนั้น พอมีความรู้พระธรรมวินัยพอที่จะรักษาตัวได้แล้ว ก็พยายามศึกษาเล่าเรียนในทางเวชกรรมและในทางไสยศาสตร์ และวิปัสสนากรรมมัฏฐานอีกทางหนึ่งด้วย จนสามารถชำนิชำนาญแตกฉานกันทุกองค์ทั้ง ๓ พี่น้อง แต่ละองค์ล้วนพอที่จะเป็นเกจิอาจารย์ของขลังได้กันทุกองค์ เมื่อได้อยู่จำพรรษาที่วัดเดิมกันมาตามสมควรแล้ว จึงได้ชักชวนกันเดินธุดงค์ขึ้นมาทางเหนือ พักแรมกันเรื่อยมาตามสถานที่ต่างๆ ที่นั้นบ้างที่นี่บ้าง แห่งละพรรษาหนึ่งบ้าง จนได้เดินทางมาถึงเมืองกำเนิดนพคุณหรือบางสะพานในปัจจุบัน พี่ชายองค์ใหญ่ คือหลวงพ่ออินทร์ ท่านได้เห็นพื้นที่และทำเลที่นั่นอุดมสมบูรณ์ดีพอที่จะพักพิงอยู่อาศัยในที่นั้นได้ ท่านจึงขอพักอยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น ต่อมาท่านได้เป็นที่เลื่อมใสของชาวเมืองกำเนิดนพคุณ จนท่านได้ถึงการมรณภาพอยู่ ณ วัดนั้นเอง ชาวเมืองกำเนิดนพคุณจึงได้ช่วยกันสร้างรูปเหมือนของท่านไว้สักการบูชาและปิดทอง ปัจจุบันนี้รูปของท่านได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาโบสถ์ อำเภอบางสะพาน


เมื่อเหลืออีกสองพี่น้อง คือหลวงพ่อม่วงกับหลวงพ่อมาก หรือหลวงพ่อในกุฏิ ทั้งสองก็ได้ธุดงค์กันขึ้นมาตามลำดับ จนได้มาถึงถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างบ้านกรูดกับทับสะแก หลวงพ่อม่วงท่านเห็นถ้ำเข้าก็พอใจในถ้ำนั้น ท่านเห็นเป็นถ้ำที่สวยดี จึงได้บอกกับหลวงพ่อในกุฏิซึ่งเป็นน้องชายว่า ขอพักอยู่จำพรรษา ณ ที่ถ้ำนั้น ถ้ำนั้นก็คือถ้ำคีรีวงศ์ใน ปัจจุบัน ซึ่งอยู่ไกลกับป้ายสถานีโคกตาหอม หลวงพ่อม่วงอยู่ที่นั้น ได้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในแถบนั้น ครั้นเมื่อได้ล่วงลับดับจิตไปแล้ว ประชาชนทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันปั้นรูปเหมือนของท่าน ไว้สักการบูชา และก็ได้ประดิษฐาน อยู่ที่ถ้ำคีรีวงศ์นั่นเอง ปัจจุบันถ้ำนั้นได้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาแล้วชื่อวัดถ้ำคีรีวงศ์ หลวงพ่อบุญมากหรือหลวงพ่อในกุฏิ ท่านเหลือเพียงองค์เดียวก็ได้ธุดงค์เรื่อยขึ้น มา พักผ่อนรอนแรมจำพรรษาตลอดมา จนกระทั่งได้เดินทางขึ้นมาถึงเมืองกุยบุรี สมัยนั้นกุยบุรียังเป็นเมืองอยู่ สันนิฐานว่าอยู่ในราว พ. ศ. ๒๓๔๐ กุยบุรียังมีเจ้าเมืองปกครอง ในขณะนั้นวัดกุยบุรีกำลังว่างเจ้าอา วาสปกครองวัด เจ้าเมืองกุยบุรี และประชาชนชาวเมืองกุยบุรีจึงได้อ้อนวอนและอาราธนาให้หลวงพ่อ ได้รับเป็นเจ้าอาวาสปก ครองวัดกุยบุรี






หลวงพ่อในกุฏิได้พิจารณาเห็นว่า วัดกุยบุรีนี้เป็นวัดเก่าวัดแก่ เป็นวัดที่คู่บ้านเมืองมาก่อน พร้อมทั้งได้เห็นทำเลที่ตั้งวัดอยู่ในที่เหมาะ สม และถูกลักษณะการสร้างวัดมีแม่น้ำกุยบุรีไหลผ่านทางด้านหลังวัด และตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ที่พระภิกษุจะต้องออกไปบิณฑบาตในเวลาเช้า นับว่าเป็นสับปายะของผู้อยู่อาศัยถึงจะไม่ไกลจากหมู่บ้านแต่ก็ปราศ จากเสียงอื้ออึงเข้ามารบกวน สมเป็นที่หลีกอยู่ของสมณะผู้ใคร่หาความสงบ หลวงพ่อในกุฏิเป็นผู้ที่ใฝ่ใจ ในด้านหาความสงบทางจิตอยู่แล้ว จึงได้รับอาราธนาจากเจ้าเมือง และชาวกุยบุรีปกครองวัดกุยบุรีตลอดมา


หลวงพ่อในกุฏิเป็นผู้ที่มีเมตตาจิต ได้ช่วยเหลืออนุ เคราะห์ และสงเคราะห์ให้กับคนทุกเพศ ทุกวัยทุกชั้นทุกหมู่เหล่า ตลอดถึงลูกเล็กเด็กแดงได้รับความป่วยไข้ ก็ช่วยพ่นปัดและต้มหยูกต้มยาให้ ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยจิตเมตตา อยู่ตลอดเวลา นับได้ว่าท่านได้เป็นที่พึ่งของปวงชนทั้งหลายจริงๆ เมื่อเป็นดังนี้ ชาวกุยบุรีจึงได้มีหลวงพ่อในกุฏิเป็นสรณะ เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง นอกจากไตรสรณะคมน์


ในสมัยหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งที่เมืองกุยบุรีนี้ได้มีโรคระบาดเกิดขึ้นอย่างร้ายแรง ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในสมัยก่อนเรียกกันว่าโรคห่าลง ปัจจุบันก็คืออหิวาตกโรคนั่นเอง ล้มตายกันจนใบไม้เหลือง คำว่าใบไม้เหลืองนั้นก็คือ คนโบราณเมื่อมีคนตายแล้ว จะต้องนำไปฝังไว้ในป่าช้า แล้วตัดต้นไม้หรือกิ่งไม้ปักไว้ที่หลุมฝังศพเพื่อเป็นเครื่องหมายพอจำได้ ประชาชนตายเช้าตายเย็นกันทุกวัน หลวงพ่อท่านก็ได้พยายามช่วยอนุเคราะห์ด้วยการแผ่เมตตาจิต และเจริญพระพุทธมนต์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร พร้อมทั้งได้ใช้เวทมนต์คาถาอาคมทางไสยศาสตร์ ช่วยปัดเป่าให้ชาวกุยบุรีได้ผ่อนคลายและผ่านพ้นจากทุกข์ภัยและมรณภัยไปได้เป็นอย่างมาก


หลวงพ่อในกุฏิท่านเป็นผู้เคร่งครัดในด้านวิปัสสนา กัมมัฏ ฐาน และชำนิชำนาญคล่องแคล่วทางด้านไสยศาสตร์ พร้อมทั้งเป็นผู้มีเมตตาจิตอย่างสูง ทั้งเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย คือเมื่อพูดคำใดแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นดังนี้ชาวเมืองกุยบุรี เมืองคลองวาฬ เมืองปราณ ตลอดถึงเมืองใกล้เคียง จึงได้ศรัทธาเลื่อมใสในบุญบารมีเป็นอันมาก เมื่อใดได้รับความทุกข์ก็จะต้องหาโอกาสมาบนบานศาลกล่าว ขอให้ช่วยปัดเป่าให้ผ่อนคลายหายจากทุกข์นั้นๆ ครั้นเมื่อได้รับความสำเร็จแล้ว หรือสมความปรารถนาจากที่ตนได้บอกกล่าวต่อหลวงพ่อไว้แล้ว ก็จะต้องมานมัสการ และปิดทองที่ตัวท่านเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถที่จะปฏิเสธในการที่ได้บนบาน ของผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสได้ จึงจำต้องยอมให้เขาเหล่านั้นปิดทอง ตามที่เขาได้บนบานเอาไว้ เล่ากันว่าหลวงพ่อท่านต้องถูกปิดทองทั้งเป็น คือปิดตั้งแต่หัวเข่าของท่านลงไปจนถึง ปลายเท้าทั้งสองข้าง ในเรื่องไสยศาสตร์เวทมนตร์คาถานั้นนับว่า หลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมขลัง และศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษองค์หนึ่ง ดังมีเรื่องเล่าว่า




ครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ได้มีพวกกะเหรี่ยงเดินทางมาขอพักอาศัยค้างคืนที่วัดคืนหนึ่ง ด้วยความที่หลวงพ่อเป็นผู้ที่มีเมตตาจิตต่อคนทุกชั้นทุกภาษา ท่านก็อนุญาตให้พวกกะเหรี่ยงเหล่านั้นพักพิงอาศัยภายในวัดได้ พวกกะเหรี่ยงในสมัยนั้นนับว่าเป็นผู้ที่มีเวทมนต์คาถาขลังเป็นอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อได้เข้ามาพักพิงอาศัยก็ได้ผูกช้างม้าให้พักผ่อนภายในวัด แล้วพวกตนก็ต้องหุงหาอาหารกินกันในตอนเย็น ความที่เป็นคนเกียจคร้านและเชื่อมั่นในอาคมขลังของตน ในการหุงหาอาหารนั้นพวกกะเหรี่ยงได้ใช้เวทมนต์คาถาที่ขลังของตน แสดงให้ประ ชาชน ดูโดยใช้วิธีบัง คือเอามีดมาถากหน้าแข้งของตน เอามาเป็นฟืนหุงข้าว โดยแสดงมนต์บังให้ชาวบ้านได้รู้อย่างนั้น ว่าตนนี้เป็นผู้วิเศษ มีอาคมขลังชาวบ้านชาวเมือง ได้ฮือฮากันมาก จึงได้นำความไปบอกเล่าให้หลวงพ่อ ซึ่งท่านได้อยู่บนกุฏิของท่านได้ทราบ แต่หลวงพ่อท่านทราบก่อนแล้วว่า พวกกะเหรี่ยงนี้ได้ลองดีกับท่าน โดยพวกกะเหรี่ยงเหล่านั้นมิได้ถากหน้าแข้งของตนเลย แต่ได้ไปถากเอาเสาศาลาของท่านมาหุงข้าว เมื่อเป็นดังนี้หลวงพ่อจึงได้คิดจะทรมานสั่งสอนพวกกะเหรี่ยงเหล่านี้ ให้รู้สำนึกตนเสียบ้าง ท่านจึงได้ร่ายเวทมนตร์อาคมขลัง นำกะลามะพร้าวไปครอบ ช้างม้าของพวกกะเหรี่ยงไว้หมด ครั้นเมื่อพวกกะเหรี่ยงได้พักผ่อนค้างคืนแล้ว รุ่งเช้าขึ้นจะต้องเดินทางต่อไป ก็ได้เที่ยวหาช้างม้าของตนก็ไม่พบเลยสักตัวเดียว หากันทั่วทั้งบริเวณวัด ก็ไม่พบช้างม้า จึงได้ชักชวนกันไปหาหลวงพ่อ ได้เรียนถามว่าช้างม้าของพวกตนหายไปไหน หลวงพ่อจึงตอบว่าเรารู้ว่าช้างม้าของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนแต่เราขอถามพวกเจ้าว่า เหตุใดเจ้าจึงได้กระทำความชั่วช้าเลวทรามโดยถากเสาศาลาของเราไปหุงข้าวกัน พวกกะเหรี่ยงตอบว่าพวกตนมิได้ถาก พวกตนถากหน้าแข้งตนเองต่างหาก หลวงพ่อจึงได้ชี้ให้ไปดู และบอกว่าเรารู้ทุกอย่างถึงการกระทำของพวก เจ้า พวกเจ้ากระทำกันอย่างนี้ไม่ได้ทีหน้าทีหลังอย่าได้กระทำกันอย่างนี้อีกเป็นอันขาด ทั้งที่นี้และที่อื่นๆ หลวงพ่อจึงได้ให้พวกกะเหรี่ยงรับคำปฏิญาณว่า จะไม่ทำอย่างนี้อีก หลวงพ่อจึงบอกว่าช้างม้าอยู่ไหน ถ้าไม่รับคำก็จะไม่บอก เมื่อโดนไม้นี้เข้าพวกกะเหรี่ยง จึงต้องยอมจำนนและรับปาก กับหลวงพ่อ พวกตน จะไม่ขอลองวิชาที่อันเป็นเหตุที่ทำให้ผู้อื่น เดือดร้อน และทำให้ของผู้อื่นเสียหาย หลวงพ่อจึงได้ให้พวกกะเหรี่ยง ไปเปิดกะลามะพร้าวที่คว่ำอยู่ตามข้างศาลาดู และบอกว่าช้างม้าของพวกเจ้า อยู่ที่นั้นแหละ เมื่อพวกกะเหรี่ยงได้ทำตามที่หลวงพ่อบอก ก็ได้พบช้างม้าของตนอยู่ในกะลา มะพร้าวนั้นเอง และทั้งอยู่ครบอีกด้วย จึงได้เกิดความเลื่อมใสในหลวงพ่อเป็นอันมาก ถึงกับยอมยกย่องนับถือ และยอมตนขอเป็นศิษย์ ตั้งแต่นั้นมาพวกกะเหรี่ยง ทั้งหลายก็เล่ากันต่อๆ ไปถึงความที่หลวงพ่อได้มีเมตตาจิตและมีเวทมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาก็ได้มีพวกกะเหรี่ยงได้เดินทางเข้ามาพักพิงอาศยที่วัดกุยบุรีเป็นประจำ เมื่อหลวงพ่อต้องการเครื่องยาสมุนไพรรากไม้ในป่า พวกกะเหรี่ยง ก็ได้ขวนขวายหามาถวายหลวงพ่อ อยู่เป็นประจำ




เรื่องที่ท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์นั้น ก็ได้มีเรื่องเล่ากันมาว่า หลวงพ่อในกุฏิท่าน ได้มีลิงเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ท่านได้เลี้ยงไว้ตั่งแต่เล็กแต่น้อย ไม่ทราบว่าได้มีใครนำมาถวายให้ท่าน หลวงพ่อเลี้ยงไว้จนโตและเชื่องสามารถที่จะใช้ให้ทำงานบางสิ่งบางอย่างได้ เรียกว่ารู้ภาษาคนได้ดีทีเดียว วันหนึ่งลิงนั้นได้เที่ยวซุกซนตามสันชาติญาณของสัตว์ เที่ยวปีนป่ายต้นไม้ขึ้นโน่นรื้อนี่ หลวงพ่อจึงได้ร้องเรียกให้ลงมาลิงนั้นก็ไม่ยอมลงยังเที่ยวปีนป่ายอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อได้เรียกจนรำคาญจึงได้พูดไปว่า เที่ยวปีนป่ายไม่ลงมา ประเดี๋ยวก็พลัดตกลงมาตายหรอก หลวงพ่อท่านพูดไปก็มิได้มีเจตนา เป็นอกุศลแต่อย่างไร ที่พูดไปก็เพราะ ว่าร้องเรียกเสียจนรำ คาญ จะด้วยเพราะวาจาอันศักดิ์ สิทธิ์ของท่าน หรือจะอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ลิงนั้นกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก็ได้พลาด และตกจากยอดไม้ลงมากระแทกพื้นขาดใจตายทันที จะด้วยเพราะชะตาชีวิตของลิงมีเท่านั้น หรือเพราะว่าเป็นวาจาอันศักดิ์ สิทธิ์ของหลวงพ่อก็ไม่ทราบได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วชาวบ้านชาวเมืองทั้ง หลายจึงได้ศรัทธาเลื่อมใสว่า ท่านเป็นผู้ที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ จะทำอะไรก็พยายามมิให้หลวงพ่อกล่าวตำหนิติเตียนได้ อันนี้เป็นเครื่องส่งเสริมบารมีของท่านขึ้นอีกเป็นอันมาก




หลวงพ่อเมื่อคราวท่านว่างจากภารกิจต่างๆ ของวัดแล้ว ท่านจะต้องบำเพ็ญภาวนาของท่านอยู่เป็นประจำ เล่ากันว่าบางครั้งท่านจะเข้าสมาธิเจริญวิปัสสนาอยู่แต่ในกุฏิของท่าน ตลอด ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง โดยท่านจะไม่ลุกและออกจากกุฏิของท่านไปไหนเลย ด้วยเหตุอันนี้เอง จึงได้มีคำเรียกท่านอีกคำหนึ่งว่า “หลวงพ่อในกุฏิ” คำที่เรียกว่าหลวงพ่อในกุฏินั้น ก็มาจากสาเหตุที่ ท่านนั่งสมาธิแล้วไม่ออกจากกุฏิ ของท่านไปไหน ชาวบ้าน จึงเรียกท่านอย่างนั้นเรื่อยมาตลอด คำว่าหลวงพ่อมากหรือบุญมากตามชื่อเดิมของท่าน จึงได้เลือนหายไป นิยมแต่คำว่าหลวงพ่อในกุฏิกันเท่านั้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้


หลวงพ่อท่านได้ปกครอง วัดกุยบุรี และได้เป็นที่พึ่งอาศัยแก่ปวงชนทั้งหลาย ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ความอบอุ่นและอุปการะเผื่อแผ่ แก่ผู้ที่ได้รับความทุกข์ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ตลอดถึงได้สั่งสอนให้ประชาชนยึดมั่นอยู่ในคำสอนของพระศาสนา จนท่านได้เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนทั้งหลาย นับว่าท่านได้อยู่มาจนบั้นปลายแห่งชีวิตของท่าน ท่านศักดิ์สิทธิ์จนต้องถูกปิดทองทั้งเป็นตามที่กล่าวแล้ว หลักฐานบางอย่างและคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันต่อๆ มาว่าหลวงพ่อท่านอยู่มาจรอายุได้ ๑๐๘ ปี จึงได้ถึงแก่มรณภาพไปตามกฎธรรมดาของสังขาร คือเมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ จะอยู่ค้ำฟ้าต่อไปไม่ได้แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้องเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน การมรณภาพของหลวงพ่อในกุฏินั้น เล่ากันว่า ท่านได้มรณภาพแบบนั่งสมาธิแล้วท่านก็สำเร็จไปเลย ด้วยอำนาจแห่งองค์ฌาน และวิปัสสนาของท่านนั่นเอง ท่านถึงแก่มรณภาพไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๒ หรือ ๒๔๑๓ ในต้นรัชกาลที่ ๕ หรือเมื่อประมาณ ๑๓๗ ปีมาแล้ว ด้วยเดชะบารมีคุณของท่าน แม้ถึงท่านจะได้ล่วงลับดับจิตไปแล้ว ประชาชนทั้งหลายก็ยังมีจิตศรัทธาเลื่อม ใส และยึดมั่นอยู่ในท่านยังไม่จืดจาง กลับจะยิ่งแน่นแคว้นยิ่งขึ้น จึงได้พร้อมใจกัน ปั้นรูปเหมือนของท่านไว้สักการบูชา และได้บรรจุอัฐิของท่านไว้ภายใน ให้คล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ครั้นอยู่มานานวันเข้า บารมีและอภินิหารต่างๆ ของท่านก็ยิ่งมากขึ้นๆ ตาม ลำดับจนกระทั่งบัดนี้




มิใช่แต่คนชาวเมืองกุยบุรีเท่านั้นชาวจังหวัดประจวบฯ และจังหวัดใกล้ เคียง ตลอดถึงกรุงเทพมหานคร ที่ศรัทธาเลื่อมใสในท่าน จะทำการงาน หรือประกอบกิจการอันใด จิตใจของเจาก็จะต้องมีหลวงพ่อในกุฏิเป็นที่พึ่งกันทั้งนั้น จะออกรถ ถอยรถ เจ็บป่วยไข้ ทำกิจการค้าขาย ทำไร่ทำนา ของหาย ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ในดวงใจของเขาจะขาดหลวงพ่อเสียมิได้ จะต้องระลึกถึงหลวงพ่อ ต้องบนบานศาลกล่าวให้หลวงพ่อได้ช่วยสงเคราะห์กันอยู่เป็นประจำ ครั้นเมื่อหลวงพ่อได้ช่วยดลบันดาลให้กิจการของเขาสำเร็จ ให้หายจากโรค ภัยไข้เจ็บให้ไดผลดีจากการทำไร่ทำนา สมความปรารถนาของเขาแล้ว เขาก็จะต้องมานมัสการและปิดทองหลวงพ่อกันเป็นประจำทุกวัน อันนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่ได้แผ่เมตตาจิตสงเคราะห์ให้กับทุกคนที่ได้ขอความช่วยเหลือจากท่าน ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นจะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ นั้น ชาวจีนและชาวไทยในตลาดกุยบุรี จะต้องมีภาพยนตร์ งิ้วแต้จิ๋วและงิ้วไหหลำ มาฉายและมาแสดงถวายให้หลวงพ่อชมกันทุกๆ ปี แต่ละอย่างไม่ต่ำกว่า ๓ คืน เมื่อเสร็จแล้วก็จะต้องมีการเปียหรือประมูลสิ่งของที่เขาได้นำมาถวาย และบูชาหลวงพ่อ ได้เงินเข้าส่วนรวมคือสมาคมของชาวจีนครั้งละเป็นแสนๆ บาททุกครั้งไป เพียงแต่ขนมเปียที่จารึกชื่อหลวง พ่อเท่านั้นก็เปียกันคู่ละไม่ต่ำกว่า ๕-๖ พันบาทอยู่แล้ว นับว่าหลวงพ่อท่านมิได้แผ่บารมีปกป้องคุ้มครอง ให้เฉพาะเพียงคนหนึ่งคนใดเท่านั้น แม้แต่ส่วนรวม หลวงพ่อก็ยังได้เป็นผู้มีส่วนได้ร่วมบุญร่วมกุศล กับเขาด้วยอีกเป็นจำนวนมาก


หลวงพ่อเมื่อท่านได้ล่วงลับ ยิ่งนานวันเข้าๆ ก็ยิ่งมีบารมีเพิ่มมากขึ้นๆ ทั้งในด้านอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ สุดที่จะพรรณนาได้หมดสิ้น นอกจากบุคคล ที่ได้ขอบนบานศาลกล่าวกับท่านแล้ว จึงจะรู้ได้เอง ในที่นี้อันมีเนื้อที่จำกัดจะขอเล่าเกี่ยวกับอภินิหารของท่านในครั้งที่ยิ่งใหญ่ อันเกิดแก่ประชาชนทั้งหลาย อันเป็นส่วนรวม ไว้ประดับบารมีของท่านสักเพียง ๒-๓ เรื่อง ในช่วงระยะเวลาที่คนกุยบุรีที่มีอายุ ๖๐-๗๐ ปี จะยังมีความจำและเล่าได้แม่นยำนั้นก็คือ




เมื่อครั้งหนึ่งประมาณ พ.ศ.๒๔๘๖ หรือ ๒๔๘๗ นั้น ได้มีฝนตกหนัก น้ำเหนือได้ไหลบ่าลงมาท่วมบ้านเรือนของชาวกุยบุรีตอน ล่าง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าน้ำท่วมใหญ่ของชาวกุย คือที่ในตลาดกุยบุรีมีน้ำท่วมสูงขนาดมิดศีรษะ ประมาณ ๒ เมตรเศษ เอาเรือมาพายกันได้ตลอด ท่วมถึงชั้นสองของบ้าน ที่วัดกุยบุรีซึ่งอยู่บนที่สูงก็ท่วมเกือบถึงพื้นนอกชานวัด ท่วมประมาณ ๑ เมตรเศษ พื้นที่ที่ตั้งกุฏิหลวงพ่อเก่านั้น อยู่ทางทิศใต้ของวัด อยู่ในพ้นที่ที่ต่ำกว่าที่ตั้งวัด “น้ำได้ท่วมกุฏิของหลวงพ่อ สูงเลยธรณีประตูของท่านมากขึ้นมาเป็นอันมาก ไม่ต่ำกว่า ๗๐-๘๐ เซนติเมตร แต่น้ำนั้นมิได้เข้าไปในกุฏิหลวงพ่อได้เลยแม้สักหยดเดียว” ลักษณะของกุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นฝาผนังก่ออิฐถือปูน แต่บานประตูเป็นไม้ การปิดเปิดก็ไม่สนิทดีพอ ข่าวน้ำท่วมแล้วไม่เข้ากุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ และน่าพิศวงเป็นอันมาก ในบารมีและอภินิหารของท่าน ประชาชนต่างก็ได้ท่องน้ำ และพายเรือมาดูกัน เป็นจำนวนมาก แม้ กระทั่งปัจจุบันบุคคลต่างถิ่น ต่างจังหวัดที่เคยได้รับฟังข่าวอันนี้ ก็ยังได้เดินทางมาดู และสอบถามความมหัศจรรย์ อันนี้กันอยู่เนืองๆ แม้เหตุการณ์นั้นจะล่วงเลยมา หลายสิบปีแล้วก็ ตาม


เรื่องอภินิหารของท่านแก่ชาวกุยบุรีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๘๘ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใกล้จะยุติ (ชาวบ้านชาวเมืองเรียกกันว่าสงครามญี่ปุ่น) ฝ่ายพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญๆ ของประเทศไทย ตลอดถึงสะพานรถไฟ ซึ่งเป็นหนทางที่ต้องใช้ขนส่งเสบียงอาหารและยุทธสัมภาระในการสงครามของญี่ปุ่น สะพานรถไฟใหญ่ๆ จึงถูกฝ่ายพันธมิตรทำลายจนหมดสิ้น เช่น ราชบุรี เพชรบุรี ปราณบุรี เป็นต้น สะพานรถไฟที่กุยบุรีนี้ก็เป็นเป้าหมายที่หนึ่งที่จะต้องทำลายเช่น เดียวกัน ในระหว่างนั้น พอเวลาบ่ายจะมีเครื่องบิน ๒ เครื่องยนต์ มุ่งหน้าบินมาทิ้งระเบิดสะพานรถไฟ หรือโค้งกุยบุรีทุกวัน ทิ้งกันอยู่เป็นเดือน ชาวเมืองกุยบุรีต่างอกสั่งขวัญหายกันทั่ว ต่างก็ได้บนบานและบอกกล่าวให้หลวงพ่อในกุฏิได้ช่วยปัดป้องคุ้มครองให้ด้วย ต่างคนต่างก็กระเสือกกระสนหาที่กำบัง เพื่อหลบภัยตามสัญชาตญาณแห่งความกลัวภัยของตนในระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินวนทิ้งระเบิดอยู่นั้น ได้มีคนจำนวนมาก ได้เห็นมีพระองค์หนึ่งได้ยืนอยู่บนสะพาน โค้งรถไฟทุกวันที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิด พระองค์ที่อยู่นั้นคือหลวงพ่อในกุฏินั้นเอง ท่านไปช่วยปกป้องคุ้มครองสะพานไว้จากระเบิด ไม่ให้เสียหายสะพานรถไฟอื่นๆ ต้องพังพินาศเสียหายด้วยการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร จนใช้การไม่ได้ทุกสะพาน แต่เดชะบุญ สะพานรถไฟที่กุยบุรีไม่ได้รับ อันตราย ไม่เสียหายเลย ยังใช้การขนส่งได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อสงครามยุติเสร็จสิ้นจากการ ทิ้งระ เบิดแล้ว หลวงพ่อก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านว่าได้ปัดป้องคุ้มครองสะพานโค้งไว้ จนมือระบมไปหมด แต่ก็ปัดป้องพลาดไปลูกหนึ่ง แต่ก็พยายามช่วยไว้ไม่ให้เสียหายคือระเบิดได้ตกลงมาถูกสะพานแต่ไม่ระเบิด ได้กระดอนไประเบิดห่างจากสะพานเป็นอันมากจึงทำไม่ให้สะพานต้องเสียหาย สะพานรถไฟกุยบุรีรอดออกมา ก็ด้วยเดชะบารมีของหลวงพ่อในกุฏิ ได้ช่วยปัดป้องคุ้มครองเอาไว้ให้โดยแท้








เรื่องอภินิหารและมหัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งที่สามคือ เมื่อสงครามญี่ปุ่นเลิกได้ไม่นานนัก ขณะฤดูร้อนเดือน ๔ เดือน ๕ หรือในราวเดือนมีนา-เมษา ทางด้านหลังของตลาดกุยบุรี ทางด้านเหนือในสมัยนั้นยังเป็นป่าอยู่ส่วนมาก และทางหลังบ้านห้องแถวของตลาดกุยบุรี ก็เป็นป่าหญ้าที่ยาวและแห้ง เพราะเป็นหน้าร้อน ได้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น จะด้วยเหตุเกิดจากอะไรก็ไม่ทราบได้ ไฟได้ลุกไหม้เข้ามาหาบ้านห้องแถว ชาวตลาดกุยบุรีซึ่งได้มีคนจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ ตกตะลึงกันไปหมด ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรได้ สมัยนั้นรถดับเพลิงก็ยังไม่มี ใช้ไฟก็ได้ไหม้เข้ามาทุกที ทั้งชาวจีนและชาวไทยต่างก็ได้บอกกล่าว ให้คุณพ่อช่วยกันทั้งตลาด คนไทยก็ได้บอกว่า “ขอให้คุณพ่อในกุฏิช่วยด้วยๆ” คนจีนก็บอกว่า “คุงพ่อช่วยล่วยๆ” ทั้งตลาดก็เซ็งแซ่ไปหมด แต่จะด้วยเดชะบุญบารมีของหลวงพ่อในกุฏิ หรือเพราะดวงชะตาของชาวตลาดกุยบุรีจะยังไม่ถึงความพินาศปราศจากที่อยู่อาศัย ก็ไม่ทราบได้ ไฟ ได้โหมไหม้เข้ามา พอใกล้รั้วของตลาดกุยบุรีเท่านั้น ก็เหมือนอย่างมีลมพัดเปลวไฟให้ไกลออกไป และได้มอดดับในที่สุด เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันมากทั้งชาวไทยและชาวจีน แม้เหตุ การณ์จะได้ล่วงเลยมานานแล้ว แต่ยังฝังแน่นอยู่ในจิตใจของชาวกุยบุรีอยู่มิรู้ลืม...............












เรื่องราวที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เป็นหลักฐานแห่งความศรัทธาต่อหลวงพ่อในกุฏิของชาวกุยบุรี เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อ ท่านผู้ใดที่มีความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม จะมาบนบานศาลกล่าวขอให้ท่านช่วยเหลือ เมื่อความเดือดเนื้อร้อนใจนั้นคลายลง หรือประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ขอไว้สมดังใจหมายแล้ว บ้างก็มาบวช บ้างก็นำหนังตลุงมาแสดง บ้างก็นำภาพยนตร์มาฉาย บ้างก็นำลิเกหรือละครมาแสดงถวาย แล้วแต่คำที่ท่านผู้นั้นได้บนบานเอาไว้


ด้วยแรงศรัทธาในองค์หลวงพ่อในกุฏิอย่างแรงกล้า ทางคณะผู้ จัดทำจึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อเผยแผ่ถึงเรื่องราว ชีวประวัติของหลวงพ่อในกุฏิ อดีตเจ้าอาวาสวัดกุยบุรี และปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่ชาวอำเภอกุยบุรี และชาวอำเภอใกล้เคียงได้สัมผัส และบอกเล่าต่อๆ กันมาตั้งแต่ครั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย ยังมีชีวิตอยู่ แล้วถ่ายทอดประสบการณ์นั้นให้ลูกหลานได้จดจำไว้











ศิษย์ขอบูชาครูบาอาจารย์


ขออนุญาตินำข้อมูลของ พี่ชายกุยบุรี มาเพื่อเผยแพร่เพื่อเป็นความรู้แก่เพื่อนๆสมาชิกนะครับ ขอบคุณครับ

ขออนุญาตินำข้อมูลของ พี่ชายกุยบุรี มาเพื่อเผยแพร่เพื่อเป็นความรู้แก่เพื่อนๆสมาชิกนะครับ ขอบคุณครับ

ขออนุญาตินำข้อมูลของ พี่ชายกุยบุรี มาเพื่อเผยแพร่เพื่อเป็นความรู้แก่เพื่อนๆสมาชิกนะครับ ขอบคุณครับ


ข้อมูลเพิ่มเติม 5 - 17 พ.ย. 2552 - 20:16:35 น.

สวัสดีครับ พี่ๆทุกท่าน ตอนนี้ใส่ราคากันมาใกล้จะได้ครึ่งทางแล้วครับ ออกแรงอีกไม่ไกลมากนักก็จะได้ครึ่งทางครับผมมมมม สู้ๆนะครับ


ข้อมูลเพิ่มเติม 6 - 18 พ.ย. 2552 - 09:49:24 น.

ยินดีด้วยครับ ตอนนี้คณได้เดินทางมาถึงครึ่งทางพอดีเลยครับ สู้ๆนะครับ สำหรับวัตถุมงคลล้ำค่าหายากครับ


 
ราคาปัจจุบัน :     25,000 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    เวชศรี (316)

 

Copyright ©G-PRA.COM