(0)
***พระสมเด็จพระไตรปิฏก หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง***








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง***พระสมเด็จพระไตรปิฏก หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง***
รายละเอียด***หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ศิษย์เอกของ "หลวงปู่ทิม
อิสริโก" อดีตเกจิอาจารย์ ชื่อดังแห่งวัดระหารไร่ จ.ระยอง ต้นตำรับ
"ขุนแผนผงพรายกุมาร" อันลือลั่นสนั่นวงการ พระเครื่อง
ได้เมตตาให้สัมภาษณ์พิเศษ ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" เกี่ยวกับการ
สืบทอด วิชาคาถาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่ทิม ตลอดจนการสร้างศาสนวัตถุ
โดยเฉพาะ "พิพิธภัณฑ์ยันต์" แห่งแรก และแห่งเดียว ในเมืองไทย
เชิญติดตามอ่าน กันได้โดยพลัน...
ไม่ทราบว่า หลวงพ่อไปร่ำเรียนวิชากับ "หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่"
ได้อย่างไรครับ?
อาตมาเป็นคนที่นี่ (บ้านหนองกรับ อ.บ้านค่าย
อยู่ห่างจากวัดระหารไร่ประมาณ 10 กิโลเมตร) ไปหาท่านครั้งแรก
ตอนนั้นอาตมาอายุประมาณ 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม
ก็เข้าไปอยู่ที่วัดระหารไร่ ไปกินนอนที่วัดเลย ไปรับใช้หลวงปู่ทิม
โดยได้ขออนุญาตจากทางบ้านแล้ว
ตอนนั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ทิมมีวิชาคาถาอาคมแก่กล้า
เพราะหลวงปู่ทิมก็เพิ่งมีชื่อเสียงในช่วงที่ชราภาพมากแล้ว ซึ่งตอนที่
หลวงพ่อได้เจอท่าน ตอนนั้น หลวงปู่ทิมก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ ใช่มั้ยครับ
อาตมาก็ดูจากที่ท่านปฏิบัติ อาตมาดู และเห็น เรื่องอย่างนี้
มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ ของแต่ละคน
เมื่อตอนที่หลวงพ่อได้พบกับ "หลวงปู่ทิม" ครั้งแรก ตอนนั้นหลวงพ่อ
รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
ท่านปฏิบัติดี อาตมาเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
มีความรู้สึกว่าหลวงปู่ทิม ไม่ใช่พระธรรมดา
จึงได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน โดยโยมพ่อกับโยมแม่ได้
ถวายอาตมาให้เป็น "บุตรบุญธรรม" ของหลวงปู่ทิม จากนั้น จะขออะไร
จะเรียนอะไร ก็จะได้ทั้งหมด
เพราะปกติท่านจะไม่ค่อยถ่ายทอดวิชาให้กับใคร
ทำไม "หลวงปู่ทิม" จึงไม่ค่อยยอมถ่ายทอดวิชาให้ใครง่ายๆ ล่ะครับ
ท่านกลัวว่าเมื่อถ่ายทอดวิชาให้คนที่เรียนไปแล้ว กลัวไม่เอาไปใช้จริง
สมัยนั้น คงจะมีผู้คนมาขอเรียนวิชากับหลวงปู่ทิมเยอะสิครับ
ก็เยอะ แต่หลวงปู่ท่านจะดูลักษณะคนด้วยว่า ใครจริงจังจะศึกษา
คาถาอาคมก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเรียนไปแล้วไม่เอาจริงไม่มีความสนใจ
และไม่เอาไปใช้ มันทำให้เสียเวลาในการแนะนำหรือสอน ท่านก็จะหมดกำลังใจ
คือ การที่ท่านจะท่องจำนั้นไม่ไหวแล้ว
หรือบางครั้งเรียนไปแล้วไม่เอาไปใช้
ก็ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงกับอาจารย์ผู้สอนไปด้วย ดังนั้น ท่านจะดูคน
ถ้าคนไหนจะเอาจริงๆ ก็ต้องมีความเพียรจริงๆ
นานมั้ยครับหลวงพ่อ กว่าที่หลวงปู่ทิมจะยอมถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อ?
ไม่นาน เพราะว่า ท่านดูจากลักษณะว่า มีแววเอาจริง
มีแววอย่างไรครับ?
ท่านคงเห็นว่าอาตมาเอาจริง และมุ่งมั่น โดยให้อาตมาไปเขียนผ้ายันต์มา 1
บททุกวัน และก็บอกว่าให้ไปท่องจำ โดยจะต้องจำให้ได้
พอท่องจำได้แล้วก็มาท่องให้ท่านฟัง
จากนั้น ทำอย่างไรต่อครับ?
เมื่อเขียนบทที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เริ่มเขียนบทที่ 2
พอเขียนเสร็จแล้วก็มาทบทวนท่องให้ท่านฟังอีก ท่องจนกว่าจะจำได้
ท่านก็จะให้ท่องจำทุกบท ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 4-5 ปี
หลวงพ่อทำแบบนี้อยู่กี่ปีครับ
จำไม่ค่อยได้ แต่รู้ว่านานหลายปีเลยทีเดียว
ซึ่งตรงนี้ทำให้อาตมาจำคาถาได้เยอะ และทำให้อาตมาจำได้ดี
แต่คาถามีอยู่เยอะมาก ก็จำได้ไม่ได้ทั้งหมดหรอก
มันมากมายกว่าที่เราจะจำได้ จึงได้มีการซิกแซก
อาจารย์เลยท้าพูดกันง่ายๆ เลย
ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ
พออาจารย์เผลอเราก็แอบเอาตำราเข้าห้องเลย เพราะเรารู้ว่า
ตำราเล่มไหนเราเขียนไปแล้ว เราก็จะไม่ เขียนซ้ำ จะเอาหยิบไปวางไว้เอง
ท่านไม่รู้หรอก เราก็เขียน เล่มต่อไปอีก พออาจารย์เผลอ
เราก็เอาไปไว้ที่เดิม แล้วเอาเล่มใหม่ มาเขียนต่ออีก
แต่สิ่งที่เราเรียน และท่องจำ มาทั้งหมดนั้น เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว
พออาจารย์รู้ ท่านก็ถามว่าเอาตำราไปใช่ไหม
เนื่องจากแกสังเกตจากกองที่ตั้งหนังสือ มันไม่เรียงกัน
เราก็ยอมรับว่าใช่ แต่ก็ได้บอกท่านว่า ตำราที่เรียนกับอาจารย์
ด้วยวิธีการท่องจำอย่างเดียวคงไม่ไหว เพราะมีมากมายเหลือเกิน
จึงต้องลอก จากอาจารย์เก็บไว้ ท่านก็ไม่โกรธ
เพราะว่าท่านเข้าใจว่าเราเอาไปก็ต้องได้ใช้ ในที่สุด ท่านก็บอกว่า
ท่านก็เรียนมาแบบนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้น
เราก็ตีจบไปเลยว่า เราไม่ผิด (หัวเราะ)
แล้วหลวงปู่ทิม ท่านไปเล่าเรียนวิชามาจากที่ไหนครับ?
หลวงปู่สิม วัดบ้านซ่อง อำเภอวันทอง จังหวัดชลบุรี
ที่เป็นศิษย์สายเดียวกับหลวงปู่ทิมก็มี หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม
และหลวงปู่ม่น วัดเนินตาหมาก
หลวงปู่ทิมเคยพูดถึงเรื่องอภินิหาร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ให้หลวงพ่อฟัง บ้างมั้ยครับ
อันนี้ ท่านไม่เคยพูดให้ฟังเลย
แล้วหลวงพ่อไม่ถามหลวงปู่ทิมบ้างเลยหรือครับ ว่าวิชาคาถาอาคมต่างๆ
ที่เรียนมานี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ อย่างไร?
อาตมาก็ถามเหมือนกัน แต่ท่านไม่บอก ท่านบอกว่าก็ทำไปแล้วจะรู้เอง
ขอให้ฝึกจิตใจของตัวเองไปให้สงบ เดี๋ยวก็รู้เอง คนอื่นจะรู้ด้วยไม่ได้
นอกจากตัวเอง
แล้วหลวงพ่อเคยเห็น "อภินิหาร" ของหลวงปู่ทิมบ้างไหมครับ?
ไม่เคยมีนะ เห็นท่านเป็นพระธรรมดาๆ รูปหนึ่งเท่านั้น
และท่านก็เป็นพระเงียบๆ แต่ก็พอคุยได้เหมือนกัน จริงๆ
จะว่าไม่มีในเรื่องอภินิหารเลยก็ไม่ใช่นะ ก็มีเหมือนกัน
มีอภินิหารอย่างไรครับหลวงพ่อ?
ตอนนั้นเป็นเวลากลางวัน ประมาณบ่ายโมง แกเอาผ้าพาดบ่าไปสรงน้ำ
สมัยก่อนวัดระหารไร่จะมีบึง และเป็นป่าเยอะ ไม่เหมือนปัจจุบัน
แกก็ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เราก็จะเข้าไปคุยด้วย
เพราะเห็นว่าท่านนั่งตากลมอยู่คนเดียว
จากนั้นก็ได้นั่งคุยกันไปคุยกันมาตามอัธยาศัย
คุยกันเป็นชั่วโมงเหมือนกัน แล้วแกก็หยุดคุย จากนั้น
แกก็เอามือแหย่ลงไปในน้ำแล้วก็ดีด 2-3 ครั้ง
ครู่เดียวปลาก็วิ่งมาเป็นฝูงเลย
ปลาวิ่งมาหาหลวงปู่ทิมเป็นฝูงเลยเหรอครับ
ปลาหลายชนิดได้ว่ายมาหาแกนั่นแหละ อาตมาไม่ว่าอะไร ก็นั่งดูเฉยๆ
ท่านก็ดีดอีก ปลาก็วิ่งเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
ด้านหน้าที่มีแต่ปลาทั้งนั้น ท่านก็ไม่ว่าอะไรเฉยอย่างเดียว
เสร็จแล้วสักพักก็ขึ้นไปบนศาลา อาตมาก็ไม่ได้ถามอะไรท่านในตอนนั้น
หลังจากนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ อาตมาจึงได้เข้าไปนั่งพูดคุย
กับท่านด้านนอกกุฏิ ระหว่างคุยไปคุยมา พอได้จังหวะดี เห็นแกอารมณ์ดี
ยิ้มแย้มแจ่มใส จึงได้ถามท่านว่า
"หลวงพ่อวันที่ฉันได้นั่งคุยกับหลวงพ่อ อยู่ริมบึงวันนั้น
เพราะเหตุใดปลาถึงวิ่งมาหาได้?" ท่านก็บอกว่า "มันมาดูเรามั้ง"
ท่านก็ว่าอย่างนั้น (หัวเราะ) อาตมาก็ถามท่านต่อว่า
ผมก็เดินมาหลายครั้ง แต่ไม่เห็นปลามันวิ่งมาดูเลย
ผมว่าหลวงพ่อต้องมีอะไรสักอย่าง เมื่อคุยไปคุยมาท่าน
ก็ว่าไม่มีอะไรหรอก แต่เราก็ตื้ออยู่นาน เมื่อถามไปถามมา ก็บอกว่ามี
มีอะไรครับ
ก็มีคาถา เป็นคาถาเรียกงูเรียกปลา จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
เพราะรู้แล้วว่ามีแน่ จากนั้น พออาตมาบวชมาได้ 2-3 พรรษา
ก็ได้ขอวิชานี้กับท่าน ขอนับสิบครั้งเห็นจะได้ แต่ก็ไม่ให้
ทำไมหลวงปู่ทิมจึงไม่ยอมถ่ายทอดวิชานี้ให้หลวงพ่อล่ะครับ?
เพราะว่าคงหวงวิชา แต่ที่ขอแล้วก็เฉย ถ้าแกตอบว่า อย่าเอาเลย
เราก็คงไม่ตอแยแน่ จนในที่สุด เมื่อแกใกล้จะมรณภาพ แกถึงบอกว่า
วิชานี้อย่าเอาเลย ขอให้ติดตัวแกไป
เพราะอะไรครับหลวงพ่อ
ถ้าคนเอาไปใช้ไม่มีสัจจะ ก็จะอันตรายมาก
เพราะวิชานี้ไม่ได้ใช้เรียกปลาเท่านั้น สัตว์ทุกชนิด ถ้าตั้งใจจะเอา
ก็จะได้ทุกอย่าง แม้แต่คนก็สามารถเรียกมาได้ ถือเป็นคาถาที่อันตราย
เพราะถ้านำใช้ไปในทางไม่ดี ก็อันตรายมาก สาเหตุนี้
ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเลย
แกบอกว่าอย่าเอาเลย แต่อย่างอื่นแกให้ทุกอย่าง จริงๆ
เราเสียดายก็เสียดาย แต่แกบอกอย่าเอาเลย พอตกกลางคืนก็เอาอีกนะ
ถามแกว่า ไอ้วิชาที่ว่านี้มันเป็นอย่างไร
ผมอยากรู้วิชาที่ดีมันว่าอย่างไร ถึงผมได้ ผมก็ไม่เอาไปใช้หรอก
และจะไม่ให้ใครด้วย แกก็บอกว่า คนเราเอาแน่นอนที่ไหนได้
อนิจจังของคนไม่แน่นอน ในยามถูกใจก็ดี ในยามไม่ถูกใจก็ดี
แสดงว่าหลวงปู่ทิมกลัวจะมีคนนำคาถานี้ไปใช้ในทางไม่ชอบ?
ใช่ อาจมีการนำไปใช้อย่างไม่ถูกไม่ต้อง ความมุ่งหมายของแกรู้
ฉันก็แทงใจแกถูก (หัวเราะ) ถ้าให้ฉันแล้วเรื่องของเรื่อง คือ
แกกลัวฉันจะสึก และมันมีเขียนไว้ในสมุดข่อย แกก็ทำลายทิ้งไป แต่เราเห็น
ก็หยิบเอามาต่อกัน ผิดบ้าง ถูกบ้างแต่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง
แต่ฉันสันนิษฐานว่า คาถานี้ ไม่น่าจะเกิน 5 คำ
แล้วพระ "ขุนแผนผงพรายกุมาร" ล่ะครับ หลวงปู่ทิมท่านทำอย่างไรครับ?
ขุนแผนนี้ท่านได้มาสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2517
ช่วงก่อนที่แกจะมรณภาพไม่กี่ปี ที่ทำก็เพราะมีไวยาวัจกรของวัด
แกก็คิดว่าจะทำขุนแผน จึงไปปรึกษากับหลวงปู่จะทำอย่างไรดี แกก็ไม่บอก
กลุ่มพวกนี้ก็หัวใสอยู่แล้ว
ก็ไปเอาแบบที่จะสร้างขุนแผนมาให้ท่านดูว่าควรสร้างแบบไหนดี
แบบนี้ได้ไหม แบบนั้นได้ไหม ในที่สุดก็จึงได้สร้างขุนแผนขึ้นมา
เพื่อจะได้นำเงินมาก่อสร้างบำรุงวัด เนื่องจาก
เมื่อก่อนบริเวณวัดแห่งนี้เป็นป่าทั้งนั้น
หลวงปู่ทิมเป็นคนบอกให้ใช้ "ผงพรายกุมาร" มาทำใช่มั้ยครับ
ไม่ใช่ แต่มาจากลูกศิษย์ อันนี้ ก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว
ว่าจะทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ แล้วก็นำไปปรึกษาหารือกับหลวงปู่ทิม
ว่าจะทำได้ไหม แกก็บอกว่าได้ ถ้ามีความสามารถทำมาได้ แกก็ทำให้ได้
พวกลูกศิษย์ก็จึงไปจัดหากันมา เพราะคนตายสมัยนั้นเขาจะเอาฝังดิน
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ไม่มีการฝังแล้ว โยมปูน
สัปเหร่อของวัดในสมัยนั้นก็เป็นคนไปเอาผงพรายกุมารมา ก็จะเป็น "ลิ้น"
กับ "เส้นผม" ของเด็กที่อยู่ในท้องแม่ที่ตายท้องกลม
แต่ไม่ได้เอาหัวกะโหลกอะไร
ลูกศิษย์เป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ?
ลูกศิษย์จัดการเอง โดยท่านไม่ได้บอก พวกนั้นได้ไปขุดหากันมา
อย่างเส้นผมก็จะเอามาซอย ส่วนลิ้นก็จะเอาไปย่างแล้ว เอามาบด ให้ละเอียด
แล้วก็เอามาให้ท่าน ซึ่งทางท่านก็มีส่วนผสมอยู่แล้ว
เมื่อเอามาผสมกันแล้ว ก็ทำการปลุกเสก
ที่จริง พลังจิตของท่านที่มีเจตนาเป็นกุศลแรง เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใส่ผงพรายกุมาร แต่ถ้ามีการใส่ผงพรายกุมารนี้ลงไป
เขาบอกว่าถ้าทำอะไรผิดแหวกแนว คนใหม่ๆ มันชอบ มันก็เชื่อ เป็นอุปทานไป
ตอนนั้น หลวงปู่ทิมปลุกเสกขุนแผนผงพรายกุมาร นานแค่ไหนครับ?
ท่านปลุกเสกคนเดียว ประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ แล้วเขาก็เอาออกมาใช้กัน
วิชาการสร้างขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม
ก็ตกทอดมาถึงหลวงพ่อด้วยใช่มั้ยครับ?
อาตมาก็ได้เรียนกับท่านมา และได้มาแบบท่านไม่ได้หวงเลย
อาตมาไม่ได้อย่างเดียว คือ คาถาที่เรียกปลาเท่านั้นแหละ
อย่างผงพรายกุมาร อาตมาก็ได้จากท่านมาบางส่วน
ก็ขอท่านไว้หลังจากที่ท่านทำพิธีปลุกเสก เพราะตอนนั้น
อาตมาก็ช่วยเขาทำอยู่ด้วย แต่ก็ได้มานิดเดียว ค่อนๆ ตลับยาหม่องเล็กๆ
พออาตมาสร้างพระขุนแผน ก็เอาผงพรายกุมารที่ได้มาใส่เป็นเชื้อ
แล้วก็จะหาผงอย่างอื่นเอามาผสมกัน
วิชาเหล่านี้ นอกจากจะมีดีตามความเชื่อของแต่ละคนแล้ว
จะมีผลที่ไม่ดีอะไรบ้างมั้ยครับ?
อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก บอกได้เลยว่าไม่ดี
ถ้าสมมติว่าเราทำให้ใครใช้ หากเราบังคับมันไม่อยู่ ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย
เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ฉันเรียนมาก็จริง แต่ตัวฉันไม่เอานะ
เข้ากับผี ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรืออะไร
หลวงพ่อก็ทำได้ แต่ไม่ทำ
ทำได้ เนื่องจากวิชาเหล่านี้เรียนมาทั้งนั้น แต่ไม่ทำ
อะไรที่เกี่ยวกับผีเป็นไม่เอา จะเป็นสีผึ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เอา
มันจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าทำไม่ดี คนๆ
นั้นอาจถึงขั้นวิปริต เสียสติไปเลย
ส่วนพระขุนแผน พวกผงพรายกุมารนั้น ต้องเรียกว่าคนทำ คือ
หลวงปู่ทิมท่านเก่ง ท่านบังคับอยู่เลย ท่านเสกบังคับไว้เสร็จเลย ฉะนั้น
คนที่จะทำต่อไป ถ้าไม่แน่จริงอย่าไปทำ มันเป็นอันตรายถือว่าเล่นกับผีนะ
เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเลย
แล้วคาถาที่หลวงปู่ทิมเสกบังคับเอาไว้ ไม่มีเสื่อมบ้างหรือครับ
มันไม่เสื่อมหรอก เหมือนโบราณเขาว่าไว้ว่า ถ้าทำได้แน่จริง ดีจริงๆ
มันไม่เสื่อมหรอก เช่นเดียวกับเพชรที่ตกไปในตม
เอาขึ้นมาล้างมันก็คือเพชร ไม่เสื่อมหรอก
ได้ข่าวว่า ตอนนี้ หลวงพ่อกำลังจะสร้าง "พิพิธภัณฑ์ยันต์"
ขึ้นมาที่วัดหนองกรับ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรครับ?
ก็จะสร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น ชั้นล่างก็จะเป็นกุฏิ
ไว้ต้อนรับญาติโยมที่เดินทางมาทำบุญที่วัด ชั้น 2 ก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์
ส่วนชั้น 3 จะใช้เป็นที่เก็บวัตถุมงคลต่างๆ ที่ได้ปลุกเสกแล้ว
พิพิธภัณฑ์นี้จะใช้เวลาสร้างประมาณ 3 ปีได้ อาตมาคาดว่า
เดือนพฤษภาคมปีนี้จะเสร็จสมบูรณ์
พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้ เมื่อเสร็จแล้วจะเป็นแบบไหนครับ?
จะทำเป็นที่เก็บเฉพาะ "ยันต์" เท่านั้น
จะเป็นยันต์ขนาดใหญ่ที่ดูแล้วสวยงาม เป็นยันต์ที่อาตมาเขียนเองทั้งหมด
ส่วนใหญก็เป็นยันต์ที่ได้เรียนมาจากหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ก็มียันต์
หนุมาน ยันต์ชูชก และเป็นยันต์พวกดาวเดือน ฯลฯ ยันต์ต่างๆ
ก็จะมีอยู่ในตำรา ลอกจากตำราแล้วเอาไปปั้นติดผนังเลย
และคิดว่าถ้าปั้นจะแลดูขลังกว่า จะนูนออกมาสวยกว่า
โดยจะมีการเขียนตัวหนังสือออกมาก่อน
แล้วเอามาแกะตัวหนังสือทำแม่พิมพ์เลย แล้วเทเป็นตัวๆ ไปเลย ก ข ค ง จ ธ
ท น ฯลฯ ไอ้เส้นยันต์เราก็เทเป็นร่องๆ ไป ประมาณ 40 ซม. หรือ 30 ซม.
การเขียนยันต์ หลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ทิมท่านเดียวเลยเหรอครับ
อาตมาก็ไปเรียนกับอาจารย์เรียง อยู่ที่กรมศิลปากรด้วย
ก็ไปเรียนกับท่านตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี สมัยนั้น
ท่านอาจารย์เรียงมาทำงานอยู่แถวชลบุรี
ท่านก็เริ่มให้ฝึกตั้งแต่การแกะสลักไม้ หลังจากนั้นก็ได้ฝึกเขียนยันต์
ส่วนใหญ่จะให้หัดเขียนเป็นลายไทย พวกลายกนกต่าง ๆ
ก็เรียนอยู่กับอาจารย์เรียง ประมาณ 5 ปีเห็นจะได้
ก็เป็นพื้นฐานในการเขียนยันต์ต่างๆ ในเวลาต่อมา
เครื่องรางของขลังต่างๆ มีประโยชน์อย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ
ให้เป็นพุทธานุสติ ให้มีการระลึกถึงสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ให้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี
ไอ้ประโยชน์ของเขามันมองไม่เห็น แต่กรณีฉุกเฉิน
มันก็สามารถทำให้เราแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ไปได้
หรือบางครั้งจากหนักก็ให้เป็นเบาได้ เรื่องแบบนี้พูดยาก
ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือคนต้องประสบเอง
ในทางกลับกัน เครื่องรางของขลังต่างๆ มีโทษบ้างมั้ยครับ
ถ้านำไปใช้ในสิ่งที่ผิด ก็จะเกิดโทษ เช่น คนที่ได้เครื่องรางของขลัง
ไปแล้วคิดว่าตัวเอง ดีแล้ว เหนียวแล้ว คงกระพันแล้ว ก็เกิดความประมาท
บางทีก็ไปหาเรื่องหาราวคนอื่น อย่างนี้ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคนเรา
เอาเครื่องราง ของขลังเอาไปใช้อย่างไม่ประมาท เอาไว้คุ้มครองตัวเอง
เอาไว้เป็นที่ระลึก เป็นพุทธานุสติ คงไม่มีปัญหา
ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก"
(เน้นคำพูด-ตัวใหญ่)พระขุนแผนผงพรายกุมารนั้น ถ้าไม่แน่จริง อย่าไปทำ
มันเป็นอันตราย ถือว่าเล่นกับผีนะ เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเเลย
อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก เพราะถ้าคนทำ เสกบังคับมันไม่อยู่
ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย"
หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
จังหวัดระยองเป็นเกจิที่ประชาชนกำลังให้ความนิยมสูงสุดอยู่ในขณะนี้ท่านเป็นพระที่มีศิลลาจารวัตรงดงามและ

มีพุทธาคมอันแก่กล้าไม่ว่าจะเป็นด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มหาลาภแคล้วคลาด
ซึ่งปรากฏได้ประจักษ์มาแล้วในผู้ที่เคารพนับถือและมีวัตถุมงคลของ
ลป.ทิมไว้บูชาซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงปู่เป็นที่เสาะแสวงหากันมากทั้งประชาชนทั่วไปและบุคคลในวงกา

รพระเครื่อง
ผู้ที่มีอยู่ต่างก็หวงแหนเพราะประสบการณ์ที่ประสบมาด้วยตัวเองจึงทำให้เกิดแรงศรัทธาอันสูงสุด
แม้ลป.ทิมจะล้วงลับไปแล้ว แต่ความศักดิ์ก็ยังคงอยู่ ความศรัทธาจากประชาชนมิได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่มีลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่หลายท่านได้ถามหลวงปู่ว่า”หลวงปู่ครับ
เมื่อสิ้นหลวงปู่แล้วพวกกระผมจะพึ่งพิงพระรูปใดได้บ้าง”หลวงปู่ทิมได้ชี้ไปที่พระหนุ่มรูปหนึ่ง
ซึ่งในวันนั้นได้มาปฏิบัติหลวงปู่อยู่ด้วย”โน่น ท่านสาคร เขาเรียนของไว้เยอะ
ท่านสาครที่หลวงปู่พูดถึง ก็คือหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับศิษย์เอกหลวงปู่ทิม
ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมไว้จนหมดสิ้น
พระครูมนูญธรรมวัตรหรือหลวงพ่อสาครศิษย์เอกผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม อิสริโก
เป็นผู้ฝักใฝ่ในด้านเวทย์มนต์คาถาอาคมและวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่เด็กๆ
นามเดิมว่า สาครไพสาลี เกิดในกระกูลชาวไร่-ชาวนา เมื่อวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ซึ่งตรงตามคติโบราณที่ว่าบุคคลนั้นจะมีความพิเศษอยู่ในตัว
หากถือปฏิบัติก็จะพบกับความสำเร็จเจริญยิ่งๆขึ้นไปหากร้ายก็จะร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และบุคคลที่เกิด

ในราศีนี้จิตจะฝักใฝ่ด้านไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา
โยมบิดาชื่อ นายกุ โยมมารดาชื่อนางนิด หลวงพ่อสาครเกิดที่บ้านท้ายทุ่ง หมู่สอง๒ ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย
(บ้านท้ายทุ่งแห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกับบ้านเกิดของลป.ทิม)
หลวงพ่อสาครมีพี่น้องทั้งหมด๒คนคือ
๑.นางอยู่ ไพสาลี
๒.หลวงพ่อสาคร
หลวงพ่อสาครได้เข้าศึกษาเบื้องต้นในชั้นประถมปีที่ ๑
เมื่ออายุได้๕ปีที่โรงเรียนวัดหนองกรับจนจบชั้นประถมปีที่๔ เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐
ได้ออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำนาและเมื่อมีเวลาว่างก็จะออกเดินทางไปบ้านละหารไร่
เพื่อศึกษาวิชาไสยศาสตร์กับโยมหล่อและโยมทัต ซึ่งทั้งสองถือว่าเป็นผู้เรืองวิชาอาคมในสมัยนั้น
และเข้าปฏิบัติหลวงปู่ทิมอยู่เป็นนิจ
ซึ่งนับว่าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่หลวงปู่ให้ความเมตตาเรียกใช้อยู่เสมอด้วยนิสัยและความสนใจด้านไสยศาสตร์ม

าแต่เด็กและโตขึ้นจึงเป็นคนหนุ่มที่มีวิชาอาคมติดตัวแต่ก็ได้ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาไปทำร้ายใครกลับมีแต

่ช่วยเหลือเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมาตลอด
เมื่ออายุครบ ๒๐ปี
โยมมารดาและญาติพี่น้องจึงได้ร่วมกันจัดพิธีอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่วัดหนองกรับเมื่อวันพุธที่ ๔
มิถุนายน ๒๕๐๑
โดยมีพระครูจันทโรทัย(หลวงพ่อดิ่ง)เป็นพระอุปัชฌายะเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอธิการเคียง


วัดไผ่ล้อมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า”
มนูญโญ”เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดละหารไร่และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ลป.ทิมเพื่อศึกษาพระธรรม

วินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่ทิมอย่างจริงจังจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ทิมจนหมดสิ้นโดยมิไ

ด้ปิดบังแต่อย่างใดเรียกได้ว่าเรียนได้กระจ่างชัดรู้จริงสามารถปฏิบัติได้
เมื่อมีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมที่เรียนแล้วด้วยใจรักในด้านนี้จึงได้เสาะแสวงหาศึกษาวิชาอาคมจากลพ.เพ่ง
สาสโน วัดละหารใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อเพ่งรูปนี้เดิมเป็นมหาดเล็กในเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตดุดมศักดิ์ฯ
จึงได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีวิชาด้านคงกระพันธ์เป็นเยี่ยมเขียนอักขระลงบนแผ่นตะกั่วเพียงตัวเดียวให้คนทดลองยิง

ก็ยิงไม่ออกเมื่อหลวงพ่อสาครได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อเพ่งเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ทิมให้ไปศึกษาวิชาจากหลวงปู่หิน
วัดหนองสนมซึ่งหลวงพ่อสาครก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่หินถ่ายทอดวิชาให้เป็นอย่างดีหลังจากศึกษาวิชาอาคม

จากหลวงปู่หินแล้วหลวงพ่อสาสรก็เดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงปู่โสม วัดบ้านช่อง อ.พานทอง
จ.ชลบุรีซึ่งเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้าอีกองค์หนึ่งของภาคตะวันออกหลวงพ่อสาครก็ได้ศึกษาจนกระทั่งจบกระ

บวนท่า ด้วยนิสัยใฝ่รู้หมั่นศึกษา
หลวงพ่อสาครได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากบรรดาเกจิอาจารย์ต่างๆอีกหลายองค์ อาทิ
พ. ศ. ๒๕๐๓ ได้เดินทางไปศึกษากับอาจารย์เชียงคำ ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
พ.ศ. ๒๕๐๖ ศึกษากับอาจารย์สิน วัดนาวัง อ.บางละมุง ชลบุรี
พ.ศ. ๒๕๑๘ เดินทางไปศึกษากับอาจารย์สุพจน์ ที่ประเทศเขมร
พ.ศ. ๒๕๒๓ ศึกษากับพระอาจารย์สุมล คำเสียง ที่จังหวัดศรีษะเกษ
พ.ศ. ๒๕๒๕ ศึกษากับหลวงพ่อบุญเย็น วัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๒๖ ศึกษากับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๒๗ ศึกษากับหลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิตร จ.เพชรบูรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๘ ศึกษากับหลวงพ่อบึม วัดปราสาทกิน จ.ปราจีนบุรี
ฯลฯ
หลวงพ่อสาครยังได้ศึกษากับเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทย์ต่างๆอีกหลายท่านทั้งพระภิกษุและฆราวาส


ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ พระครูเกลี้ยงธรรมถีโยเจ้าอาวาสลำดับที่๙วัดหนองกรับได้มรณภาพลง
ทายกทายิกาชาวบ้านหนองกรับได้เดินทางไปหาหลวงปู่ทิมที่วัดละหารไร่เพื่ออาราธนาหลวงพ่อสาคร มนูญโญ
ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ หลวงปู่ทิมได้อนุญาต
หลวงพ่อสาครจึงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ถึงแม้ว่าท่านจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับก็มิได้ทอดทิ้งหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์ยังคงเดินทางไปกราบนมั

สการดูแลหลวงปู่อยู่เสมอจนกระทั่งหลวงปู่ทิมได้มรณภาพลงในปี๒๕๑๘หลวงพ่อสาครก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในก

ารจัดบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่ทิมอย่างเต็มที่สมกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างแท้จริงจนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่นๆ

ของหลวงปู่ทิมกล่าวยกย่องชมเชยหลวงพ่อสาครกันทั่ว
หลวงพ่อสาครนอกจากจะสนใจศึกษาวิชาอาคมต่างๆแล้วท่านก็มิได้ทอดทิ้งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย
และเมื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองกรับซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า๒๐๐ปีและเคยถูกไฟไหม้เผากุฏิเสนา

สงฆ์จนวอดวายท่านก็มิได้ดูดายเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสก็ได้บูรณะและสร้างเสนาสนะใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ภิกษุสงฆ์

สามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ใช้ปฏิบัติศาสนกิจต่อไปด้วย
ความสามารถพิเศษของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งคือมีความชำนาญในด้านปฏิมากรรมและวิจิตรศิลป์
การแกะสลัก,การปั้นลวดลายและวาดภาพฝาผนังตลอดจนการลงรักปิดทอง
ท่านจึงได้ลงมือบูรณะและก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุต่างๆด้วยตัวท่านเอง
ในปีพ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
“พระครูมนูญธรรมวัตร”หลวงพ่อสาครได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๘
มีด้วยกันสองพิมพ์พิมพ์แรกเป็นสมเด็จรัศมีมีเนื้อผงใบลานเก่าสีดำหลวงพ่อได้นำใส่บาตรแล้วเผาไฟทำให้มีเนื

้อแกร่งและอีกพิมพ์หนึ่งเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทิมเนื้อผงใบลานสีดำเนื้อเดียวกับสมเด็จพิมพ์รัศมี
หลวงพ่อสาครได้นำออกมาแจกแก่ญาติโยมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ในงานทอดผ้าป่า
พระชุดนี้ได้ก่ออภินิหารอย่างมากมายช่วยคุ้มครองชีวิตแก่ผู้นำติดตัวมาแล้วหลายราย
ต่อมาในปี๒๕๒๔หลวงพ่อสาครได้นำผงปัถมัง,ผงอิทธิเจที่ท่านเขียนเลขยันต์อักขระต่างๆ
,ผงของของหลวงปู่.ทิม,ผงอิทธิเจหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่,ผงปัดตลอดอาจารย์ภูเมือง,ผงพุทธคุณหลวงพ่อสิม
วัดถ้ำผาปล่อง,ผงพุทธคุณครูบาคำหล้า จ.เชียงใหม่,ผงพุทธคุณอาจารย์มั่น,ผงวิเศษหลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอกและผงของเกจิอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อได้ไปศึกษามาหลวงพ่อสาครได้นำผงเหล่านี้มาสร้างเป็นสมเ

ด็จพุทธนิมิตซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถวัดหนองกรับหลังจากสร้างออกมาแล้วก็เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื

่อทหารนาวิกโยธินนายหนึ่งได้เหยียบกับระเบิดจนตัวลอยละลิ่วเมื่อเพื่อนๆวิ่งไปดูทหารคนนั้นไม่เป็นอะไรเลย

ในคอคล้องสมเด็จพุทธนิมิตองค์เดียวเท่านั้นจึงยกโขยงมาขอสมเด็จพุทธนิมิตจากหลวงพ่อไปเป็นจำนวนมาก

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีกหลายพิมพ์ซึ่งก็ล้วนมีประสบการณ์ทั้งสิ้นจนทำให้วัตถุมงคลเหล

่านี้หมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว
ในปีเดียวกัน(๒๕๒๔)หลวงพ่อสาครได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
หลวงพ่อได้สร้างเหรียญปิดตารุ่นฉลองสมศักดิ์ขึ้นด้านหลังเป็นยันต์ห้าเหรียญรุ่นนี้เป็นที่โจษขานกันมาอีก

รุ่นหนึ่งในบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดระยองเหราะทำให้มีฐานะดีขึ้นมาทุกวันนี้เพราะเหรียญปิดตาหลวงพ่อสา

ครนี่แหละ

หลวงพ่อสาครนับว่าเป็นที่เจริญรอยตามคณาจารย์โดยแท้ด้วยศิลลาจารวัตรที่งดงามอีกรูปหนึ่งท่านเป็นพระที่สม

ถะที่มากด้วยพระธรรมวินัยมีอาคมอันแก่กล้า
หลวงพ่อสาคร มนูญโญ วัดหนองกรับนับว่าเป็นเพชรน้ำเอกอีกรูปหนึ่งที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ
ท่านเป็นพระผู้สืบสานอาคมจากหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์มิขาดตกบกพร่อง***

***พร้อมใบรับประกัน +ส่งด่วนEMS***
ราคาเปิดประมูล300 บาท
ราคาปัจจุบัน-- ยังไม่มีผู้เสนอราคา -- (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูล - 07 เม.ย. 2551 - 15:44:56 น.
วันปิดประมูล - 10 เม.ย. 2551 - 15:44:56 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลbenter (6.8K)(1)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     300 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ท่านต้อง login เข้าสู่ระบบก่อน จึงจะสามารถร่วมประมูลได้ !!!


 

Copyright ©G-PRA.COM