(0)
++ภูตมหาพราย เขาละมั่ง หลวงพ่อมงคล จ พิจิตร++มีโค๊ดนะ ทำจากตะกรุดโทน ลป ทิม วัดละหารไร่ +++อุดมวลสาร ลป ทิม วัดละหารไร่ จ ระยอง








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง++ภูตมหาพราย เขาละมั่ง หลวงพ่อมงคล จ พิจิตร++มีโค๊ดนะ ทำจากตะกรุดโทน ลป ทิม วัดละหารไร่ +++อุดมวลสาร ลป ทิม วัดละหารไร่ จ ระยอง
รายละเอียดรายละเอียด ทำจากไม้มงคล ต่างๆ ไม้ขนุน โมกขาว ไม้สักทอง ไม้มะรุม เขาละมั่ง อุดมวลสาร ลป ทิม วัดละหารไร่ จ ระยอง
ได้มาจากศิษย์ก้นกุฏิ อ. เพียรวิทย์ จารุสถิต วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง เพื่อสร้างฐานพระสมุทรเจดีย์ ศรีมหาราช วัดบางเขน จ พิจิตร
มวลสารในการจัดสร้าง (อุดใต้ภูตมหาพราย)
1. เศษลูกอมผงพราย กุมาร ลป ทิม วัดละหารไร่ จ ระยอง
2. ปิดตานางพราย ตน คุม หลวงปู่ทิม ที่ใช้ คุม ปิดตานางพรายตนขาว แล ะ ปิดตานางพรายตนดำ
3. ผงพุทธคุณตกทอดมาแต่ สมัย ร.5 ของหลวงพ่อมงคล
4. ผงจากล๊อกเกต นิ่ง 32 อัน
5. ผงจากล๊อกเกต ลป ทิม ประทานพร ลองพิมพ์ 20 อัน
6. ผงพรายกุมาร ในขวด ที่ ลป ทิม เสกเพียวๆ
7. รังต่อเงิน ต่อทอง ที่ ลป ทิม เสก
8 รูปหล่อ ลป ทิม เนื้อผงโบราณ ปี 03
9. ผงอิติปิโสรัตนะมาลา ผงอิทธิเจ
10 ผงจินดามณี หรือ ว่านไพร หรือ ผงยานัตต์
11. ว่านไหลดำ
12. ว่านมหานิยม
13.ร่อนทองมหาเสน่ห์
14. นางล้อม มหาโชค
15 ไม้กุ๊กไก่ ไม้แยงแย้
แล ะั มวลสารมงคลต่างๆ มากมาย

สรรพคุณ ภูติมหาพราย ป้องกันคุณไสย คุณคน ลมเพลมพัด บนบา่น สารกล่าว มหาเสน่ห์ ทำมาค้าขาย ต้นแบบ คือ ปิดตานางพราย ของ ลป ทิม วัดละหารไร่ จ ระยอง

หลวงพ่อมงคล วัดบางเบน อ ทับคล้อ จ พิจิตร

ท่านได้เรียนการเสกประคำกับ หลวงพ่ออุตมะมะ และเรียนวิชา กับหลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระครูบวรธรรมสถิต เจ้าอาวาสวัดบึงชุมเงิน และได้รับการถ่ายทอดวิชา จาก หลวงปู่คำนิง เรียนในนิมิตร กับหลวงพ่อกบ และหลวงพ่อโอภาสี
-----------------------------------------------------

วัตถุ มงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยองโดย อ.เพียรวิทย์ จารุสถิติ นิตยสารร่มโพธิ ซึ่งได้รับอนุญาตจากอาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ ให้นำมาเผยแพร่ทางเวปไซต์บุญญาภิรัติดอทคอม ดังนั้น จึงขอเชิญท่านผู้ติดตามเวปไซต์ของเราได้พบกับบทความของท่านอาจารย์เพียร วิทย์ได้ตลอดไปครับ

ตอน กำเนิดพรายขาว พรายดำ (ตอนที่ 1)

ย้อน กลับไปตอน ระลึกความทรงจำของเด็กวัด ผมได้พูดถึงเรื่องพระปิดตานั่งยอง เหมือนกุมารดูดรก ซึ่งหลวงพ่อนิด วัดทับมาได้พูดเสมอว่า พวกเล่นของพวกนี้ สักวันหนึ่งจะรู้ว่า มีจริงซึ่งมูลเหตุที่สร้างพระปิดตาชุดนี้ ก็เนื่องมาจาก โยมสาย ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่รับใช้หลวงปู่อย่างใกล้ชิด และเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่มีวิชาอาคมแก่กล้า หลวงปู่เคยใช้ให้ไปเอาของอาถรรพณ์หลายอย่าง

โยมสาย ได้เล่าให้ฟังว่า....หลวงปู่เคยให้แกแกะก้อนผงก้อนหนึ่งซึ่งมีลักษณะขาวนวล มีกลิ่นหอมแปลกๆ และเมื่อใช้แว่นขยายส่องดูภายในผงจะมีจุดแดงๆ อยู่อย่างประปราย บางแห่งก็มีเม็ดแร่ฝังอยู่ด้วย ท่านบอกให้โยมสายแกะเป็นพระปิดตานั่งยอง เสร็จนำมาให้ท่านเสก ท่านจะเสกไว้ใช้

ท่านบอกว่าจะทำของดีให้อย่างหนึ่ง ของดีที่นี่ทำใช้ให้ดีเหมือนมีพรายกระซิบ นี่ทำได้ เพราะนี่เชื่อว่าต่อไปจะไม่มีใครทำเหมือนที่นี่ทำ โยมสายจงได้ใช้เวลาว่างแกะเป็นรูปกุมารนั่งยองปิดตาทั้งสองข้าง และในสมัยที่โยมสายยังมีชีวิตอยู่ ผมก็เห็นแกใช้ติดตัวเป็นประจำ เคยจีบแกหลายครั้ง แต่แกไม่ยอมให้จนทำให้ผมกระสันยากได้ไว้ใช้บ้าง จึงได้เพียรเข้าหาหลวงปู่หลายครั้งแต่ท่านก็ไม่ยอมให้สักที ตอนนั้นอาจะเห็นว่าผมยังเป็นเด็กอยู่ เมื่อขอท่านนานๆ ท่านก็ไม่ให้เสียที ก็เลยเลิกสนใจ

เป็นที่ทราบกันดีว่า สมัยที่หลวงปู่ยังอยู่ และได้มีการก่อสร้างศาลาและถาวรวัตถุภายในวัดละหารไร่นั้น ก็ได้มีศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามคอยโจมตีอยู่เสมอ จนกรรมการที่ก่อสร้างต่างท้อใจ เกือบจะล้มเลิกกลางคันตั้งหลายครั้ง แต่เพราะมีหลวงปู่คอยให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้าง พวกเราจึงฮึดสู้ รบกับศัตรูข้างวัดที่มาก่อกวนด้วยวาจา จนทำให้กรรมการในวัดแตกแยกออกมาเป็น 2 ฝ่าย

ซึ่งผมอยู่ฝ่ายวัด ก็ต้องมารบกับกรรมการฝ่ายกรุงเทพฯ อีกเพราะเวลาจะเบิกเงินเพื่อจ่ายให้ช่างก่อสร้าง รู้สึกว่าจะมีกฎเกณฑ์มากจนช่างต้องนำเรื่องนี้มาขอเบิกกรรมการฝ่ายวัดอีก ซึ่งเราก็ต้องขึ้น-ลงกรุงเทพฯเป็นว่าเล่น เพื่อไปพูดจากับ คุณชินพร สุขสถิตย์ ซึ่งเป็นประธานในการก่อสร้างศาลาการเปรียญในเวลานั้น เพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้ามาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เตรียมไว้ แต่ก็ได้มีกรรมการฝ่ายกรุงเทพฯ คัดค้าน จึงทำให้ศาลาการเปรียญแทนที่จะสร้างเสร็จได้เร็วก็เกิดความล่าช้าลงไปอีก

หลวงปู่ท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิวันไหนท่านไม่ได้ยินเสียงช่างทำงาน ท่านก็จะไม่สบายใจ จนมีคืนหนึ่งท่านจึงยกแท่งผงในห้องท่านออกมาก้อนหนึ่ง และบอกให้ผมและโยมสายช่วยนำไปให้ช่างที่มีฝีมือให้แกะเป็นรูปพระปิดตานั่ง ยอง คล้ายกับกุมารดูดรก และยังสั่งให้ไปเอาถ่านที่เผาคนตายวันเสาร์เผาวันอังคารให้หามาให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

ท่านบอกว่า ถึงเวลาที่นี่จะทำของดีให้ไว้ใช้กันแล้ว เมื่อได้วัสดุตามที่หลวงปู่ต้องการแล้ว จะให้โยมสายแกะคนเดียวก็คงจะต้องใช้เวลานาน จึงวาน นายแดงซึ่งเป็นลูกชายหลวงลุงรอดให้ช่วยขับรถพาไปที่ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งแกะงาที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น โดยผู้ที่ไปในตอนนั้นก็มี หลวงลุงรอด ผม โยมสาย และนายแดง

เมื่อไปถึง อ.พยุหคีรี ก็ได้พยายามติดต่อหาช่างแกะเกือบครึ่งวัน เพราะแต่ละคนพอเห็นวัสดุที่เรานำมาต่างก็ไม่ยอมทำ ซึ่งผมก็ไม่ทราบสาเหตุ จนใกล้หมดกำลังใจแล้ว ก็พอดีโยมสายเดินไปที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ริมทาง คนขายกาแฟก็ถามว่ามาจากไหน มาทำอะไร ผมก็เลยตอบว่า อยากมาหาช่างเพื่อช่วยแกะของให้หลวงปู่หน่อย คนขายกาแฟก็ขอดูวัสดุที่จะแกะสักครู่หนึ่ง และบอกว่า จะทำให้แล้วแกก็พาไปที่บ้านของแก ซึ่งปรากฏว่าแกก็เป็นช่างแกะงา ซึ่งพวกเราก็อธิบายให้แกทราบว่า วัสดุชิ้นนี้เป็นอะไร ถ่านแกะเป็นอะไร ซึ่งแกก็ได้ทำการจดลงสมุดไว้ หลวงลุงรอด จึงบอกว่า ถ่านนั้นให้แกะเป็นรูปบูชาหลวงปู่ด้วย เผื่อจะได้นำมาแจกให้ญาติโยมที่ทำบุญให้วัดบ้าง” พวกเราได้นำวัสดุทั้งหมดนี้ นำมาให้ช่างตอนกลางปี 17 แล้วก็สั่งช่างให้ทำเร็วๆ และยังบอกช่างอีกว่าจะมารับของทั้งหมดปลายปี พ.ศ.2517 ซึ่งช่างก็รับปากเป็นอย่างดี สมัยนั้น ทางไปบ้านช่างที่ อ. พยุหคีรี ลำบากมาก ต้องวิ่งรถสายในทางไปชัยนาท ไม่กล้าวิ่งสายนอก เนื่องจากรถกระบะของนายแดงเป็นรถดัดแปลงเสียงกลัวตำรวจจะดักจับ

จนได้เวลาเมื่อช่างแกะเสร็จทางช่างจึงโทรเลขมาบอกที่วัดละหารไร่ ว่าให้ไปเอาของที่แกะได้แล้ว พวกเราจึงเรียนบอกหลวงปู่ ซึ่งท่านก็เมตตาหยิบปัจจัยส่วนตัวของท่านมาจ่ายให้เป็นค่าแกะของชุดนี้ พวกเราทั้งหมดจึงนัดวันไปเอาของกันโดยไปกันเหมือนเดิม
หลังจากได้รับของที่แกะเรียบร้อยแล้ว ทางช่างยังแถมราชสีห์ให้มาให้อีก 10 ตัว บอกว่าให้นำไปให้หลวงปู่เสกจะได้นำมาติดตัวกัน
ผมและโยมสาย ได้นำวัสดุที่แกะทั้งหมด มามอบให้หลวงปู่ที่วัดซึ่งท่านก็มองดูด้วยความพอใจ ซึ่งตอนนั้นก็มีหลายอย่างทีเดียว แต่ละอย่างก็มีจำนวนไม่มากเท่าไรเพียงแต่ว่าช่างแกะคละกันมา ก็มี ปิดตานางพรายเนื้อขาว เนื้อดำ ซึ่งหลวงปู่เรียกของท่านว่า พรายขาวและ พรายดำ นอกนั้นก็มีไม้แกะเป็นรูปปิดตา รูปเหมือน

สำหรับถ่านอาถรรพ์ ช่างก็ได้แกะรูปหลวงปู่ แต่มีไม่มากหลวงปู่จึงนำมาเก็บไว้ในห้องท่านและท่านบอกว่า จะต้องทำการปลุกเสกก่อน อีก 2 วัน ท่านก็นำพระชุดนี้พร้อมเม็ดลูกปืน ซึ่งเม็ดลูกปูนนี้เป็นเม็ดลูกปืนที่อุดในก้นพระกริ่งรูปเหมือนรุ่นแรกของ ท่าน) นำออกมาและสั่งให้ผมไปตามโยมสายและสั่งว่าให้นำไปให้ช่าง ช่วยอุดเม็ดกริ่งลงไปที่องค์พระด้วย

สำหรับ พรายขาวไม่ต้องเพราะเป็นผงวิเศษแข็ง ประเดี๋ยวเจาะมันจะแตก เอาอย่างอื่นที่มีอยู่ไปอุดให้หมด เพราะเสียดายเม็ดกริ่งซึ่งเสกมานาน เมื่อก่อนนี้เคยคิดจะเอาเม็ดกริ่งที่หลวงปู่เสกนี้ฝังไปในเนื้อท้องแขน เหมือน เข็มทอง ของ หลวงพ่อพิมมาลัย หรือตะกรุดทองคำหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่

เมื่อได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาคุณหมอวีระ ศรีภิญโญ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าทำได้แต่อาจเสี่ยงนิดหน่อยก็คือ เม็ดลูกปืนนี่เกิดสนิมง่ายกลัวจะเกิดบาดทะยักภายหลัง ก็เลยเปลี่ยนไปไม่ฝังดีกว่า

ผมและโยมสายต้องจับรถไปที่ อ.พยุหคีรี อีกครั้งหนึ่ง และก็ได้นำวัสดุทั้งหมดไปให้ช่างคนเดิมทำการฝัง โดยนอนค้างที่ อ.พยุหคีรี ซึ่งเป็นโรงแรมเล็กๆ เพราะขี้เกียจไปมาหลายครั้ง เมื่อเสร็จแล้วก็นำสิ่งของทั้งหมดนี้ไปมอบให้หลวงปู่ ซึ่งท่านก็ได้ทำการจารตามแบบฉบับของท่าน พระชุดนี้ได้อยู่ที่หลวงปู่ทิมเป็นเวลานาน เคยหาโอกาส ขอ ท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้สักที เคยมีคนใช้ ลูกตื้อไปขอท่านซึ่งท่านก็คงจะทนลูกตื้อไม่ไหวก็มีคนได้ไปเหมือนกัน ภายหลังเมื่อหลวงปู่ปลุกเสกเสร็จ ผมก็ได้รับจากมือท่านหลายองค์เหมือนกัน ซึ่งโยมสายและหลวงลุงรอดก็ได้รับมาจากหลวงปู่พร้อมกัน
-----------------------------------


ถามท่านว่าดีอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็ไปใช้ดูแล้วจะรู้เองแต่ที่รู้แน่ๆ ว่าของที่ท่านทำให้ครั้งนี้ท่านตั้งใจจะทำให้ลูกศิษย์ที่รับใช้ท่านอย่าง ใกล้ชิด และเป็นวัตถุอาถรรพ์ชิ้นเดียวที่หลวงปู่อยากให้ทำ
----------------------------
เมื่อก่อนนี้ ใครได้ของดีมา จะทำการทดลองเพื่อให้เห็นจริงอยู่เสมอ ผมก็เช่นกันได้ชื่อว่าเป็นนักทดลองมือฉมังทีเดียว ใครบอกว่าที่ไหนดี พอถึงเวลาจะพยักหน้ากับเพื่อนที่รู้ใจ เดินไปหลังวัดหามุมเหมาะๆ เพื่อทำการทดลองทันที เท่าที่ปรากฏ ส่วนมากจะเป็นแคล้วคลาด หรือบางที่ยิงไม่ออกเป็นส่วนใหญ่ ท่านคงไม่อยากให้ลูกศิษย์หรือบุคคลที่มีของของท่านเจ็บปวดกระมัง ท่านจึงลงแคล้วคลาดอย่างเดียว ใจจริงผมอยากให้ท่านลงมหาอุดมากกว่า เพราะถึงอย่างไร? มันไม่เสียว หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นเหมือนผมหรือเปล่าล่ะครับ

การทดลองปืนนั้น ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว ในครั้งนั้น นายจำลอง ทรัพย์สกุลเจริญ เจ้าของร้านทองทวีทรัพย์เคยไปกราบหลวงปู่ที่วัด รู้สึกว่าตอนนั้นนายจำลองจะไปขอเหรียญรุ่นนั่งพาน จากหลวงปู่ แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดหรือยังไม่มีฤกษ์แจก ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่แจกให้ด้วยความโมโห นายจำลองจึงเช่าปลัดขิก-ผ้ายันต์, ลูกอมและวัตถุมงคลอื่นๆ ที่อยู่ในตู้จำหน่ายของวัด เมื่อขับรถมาถึงครึ่งทาง นายจำลองก็จอดรถและบอกผมกับลุงอิน ช่างตัดผมหลังตลาดเก่าว่า อยากจะลองของหน่อย อยากรู้นักว่า ของของท่านจะแน่แค่ไหน นายจำลองจึงเอาถุงที่ใส่วัตถุมงคล อาราธนาและแขวนไว้ที่กิ่งไม้ จากนั้นจึงใช้ปืนพกที่ติดตัวมา ยิงไปทันทีที่ถุงนั้น

เสียงปืนตังเปรี้ยง ผมถึงกับใจหายวาบคิดว่าคงพังยับเยินอย่างแน่นอน เมื่อหายตกตะลึงแล้ว จึงรีบเก็บถุงที่ใส่วัตถุมงคลขึ้นมาดู ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ? ถุงที่ใส่วัตถุมงคลยังอยู่เป็นปกติดีอยู่ทุกประการ ไม่มีรอยทะลุมีแต่เขม่าปืนจับที่ถุงเต็มไปหมด ทุกคนต่างยืนงงเป็นการใหญ่ เพราะไม่ทราบว่ากระสุนปืนที่ยิงออกไปนั้นหายไปไหน หลังจากนั้นต่างคนต่างก็รีบขึ้นรถกลับระยองอย่างรวดเร็ว โดยที่ทุกคนที่อยู่ในรถนั่งเงียบกริบไม่มีใครพูดจาสนุกสนานเหมือนกับตอนขามาเลย

ผมได้เห็นอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของท่านแล้ว เมื่อมาวัดทีใด จะเอ่ยปากขอของดีจากท่านเสมอ หลวงปู่จะหยิบลูกอมให้ผมเป็นถุงปูนใหญ่และยังกำชับอีกว่าเก็บไว้ให้ดี ในยุคก่อนลูกอมจะเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ใครๆ ได้รับไปต่างหวงแหนเป็นพิเศษ และจะหวงยิ่งกว่าพระผงพรายกุมารเสียอีก แต่ใครล่ะ? จะทราบถึงอนาคตกาลข้างหน้าได้ ถ้าผมรู้ว่าต่อไปพระผงพรายต่อไปจะเป็นที่เสาะแสวงหาของบุคคลทั่วไป ก็คงจะขอหลวงปู่เก็บไว้ส่วนตัวสักถุงใหญ่ๆ หน่อยให้เหมือนที่ท่านให้ลูกอมแก่ผม แต่นั่นแหละครับ ถึงจะเป็นพระเครื่องหรือลูกอมของท่านก็ล้วนมีอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ผู้ปลุกเสก ฉะนั้นไม่ว่าวัตถุมงคลใดๆ ถ้าหลวงปู่ท่านทำ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น

เมื่อก่อนนี้ผมยอมรับว่า มีลูกอมหลวงปู่ทิมมากทีเดียว นำไปถวายท่านอาจารย์สูตร วัดเนินกระปรอก ไว้ตั้งหลายกระป๋องเพื่อให้ท่านนำไปแจกให้คนที่มาทำบุญสร้างวัดกับท่าน ลองไปถามดูก็ได้ว่าจริงหรือเปล่า? เวลาเจ้าอาวาสวัดอื่นไปขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่ หลวงปู่จะใช้ให้ผมหยิบลูกอมในกระบุงใหญ่ในห้องของท่านใส่ในกระป๋องใบชานำไปแจกบรรดาขรัววัดต่างๆ และท่านจะพูดว่า ของอื่นมันมีทุน เขาตั้งใจจะนำมาสร้างวัด เอาอย่างนี้ดีกว่าไม่มีทุนและนี่ก็ทำเอง ป้องกันอันตรายได้เหมือนกัน

นายดำ บ้านอยู่ที่เจ็ดลูกเนิน เป็นบุคคลที่เคยไปไหนมาไหนกับผมบ่อยที่สุด นายดำเคยได้ลูกอมไปจากผม 1 เม็ด และก็นำพกติดตัวอยู่เสมอ ประสพอุบัติเหตุตั้งหลายครั้งก็ไม่เป็นไร? จนมีอยู่วันหนึ่ง นายดำได้ไปหาผมที่บ้าน บอกว่าพรรคพวกที่รู้จักกันเอาพระเครื่องไปทดลองยิงที่ข้างเขาหลวงเตี่ย เห็นพระเครื่องหลายองค์รวมทั้งเครื่องรางต่างๆ พังสนิททุกราย มีอยู่รายหนึ่ง ปรากฏว่ายิงไม่ถูก ยิงตั้งหลายนัดเหมือนพระในถุงจะเดินหนีได้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น รู้สึกแปลกใจก็เลยขอเปิดถุงดู ในถุงนั้นมีเหรียญเสมาเล็ก, ตะกรุดโทนและลูกอมอยู่ 2 เม็ด และสาลิกาแกะด้วยไม้อีก 1 ตัว สืบถามเจ้าของจึงรู้ว่าเป็นของหลวงปู่ทิมพ่อได้มาเมื่อคราวไปทำบุญฝังลูกนิมิตที่วัดของท่าน นายดำจึงเกิดความสนใจ อยากจะพิสูจน์ของในคอของตนเอง ประกอบกับได้รับแรงเชียร์จากเพื่อนๆ ก็เลยปลดลูกอมออกจากคอตนเองทันที พร้อมทั้งอาราธนาบอกหลวงปู่ว่า ไม่ได้ลบหลู่ท่านเพียงแต่จะเห็นของจริง ผลปรากฏว่า ในระยะใกล้ๆ ไม่มีใครสามารถยิงลูกอมนั้นให้ถูกเลย เดี๋ยวนี้นายดำก็ยังห้อยติดคออยู่เสมอ ในระยะหลังนายดำไปได้เมียสวย ก็โดนคู่แข่งลอบยิงตั้งหลายครั้ง แต่ก็แคล้วคลาดมาเรื่อย มาระยะหลังนี้ ผมกับนายดำต่างมีธุรกิจส่วนตัว ก็เลยไม่ได้พบกันอีก คิดว่าเจอกันอีกเมื่อไหร่ จะขอถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวจริงกันเสียที

เมื่อก่อนนี้ หลังจากหลวงปู่ได้มรณภาพได้ไม่นาน ผมกับ คุณประชา ตรีพาสัย ยังเคยเดินเช่าซื้อลูกอมจากร้านทองทวีทรัพย์มาหลายลูก ตอนนั้นลูกอมราคาแพงกว่าพระผงพรายกุมารและเหรียญเจริญพรเสียอีก เช่น ถ้าลูกอมเม็ดละ 200 บาท พระผงพรายกุมารก็ราคาประมาณ 40-60 บาทเป็นอย่างสูง เพราะตอนนั้นใครมีลูกอมของหลวงปู่ทิมต่างหวงแหนมากพอๆ กับหวงลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว แปดริ้วทีเดียว เพราะถ้าเทียบถึงอำนาจพุทธคุณก็ไม่แพ้กันเท่าไร? ลูกอมหลวงปู่ทิมเนื้อในจะมีลักษณะคล้ายพระชุดเนื้อผงของท่าน บางลูกจะมีลักษณะใหญ่เป็นพิเศษ และมีห่วงทำด้วยลวดฝังอยู่ภายในเพื่อไว้คล้องคอ หลวงปู่เคยบอกว่า ถ้าจะทำลูกอมไว้ใช้สักเม็ดหนึ่ง บางทียังทำยากยิ่งกว่าทำพระใช้เสียอีก ผมได้ยินยังรู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกัน เพิ่งมากระจ่างเมื่อตอนที่หลวงปู่แก้วสอนเรื่องธาตุทั้งสี่ให้ผม

หลวงปู่แก้ว บอกว่า การทำลูกอมที่คุณพ่อว่าทำยากยิ่งกว่าองค์พระนั้น เนื่องจากการทำพระเครื่องนั้น ไม่ยากเท่าไรเพราะเป็นรูปองค์พระอยู่แล้ว เพียงแต่ปลุกเสกให้ใส่อาการ 32 ลงไป และทำการปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งก็ได้ผลแล้ว แต่การทำลูกอมนั้น เพราะลูกอมไม่ใช่พระเครื่องมีแต่ผงพุทธคุณล้วนๆ เวลาปลุกเสกจึงต้องตั้งนิมิตให้เห็นผงพุทธคุณนั้นสมมติเป็นองค์พระและใส่ธาตุทั้ง 4 คือดิน, น้ำ, ลม, ไฟ พร้อมทั้งหนุนด้วยแก้วมณีโชติเสร็จแล้วจึงนำมาเสกด้วยอาการ 32 อีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงนำมาปลุกเสกด้วยคาถามหาปลุกใหญ่ จนมั่นใจว่า ผงพุทธคุณนี้สามารถมีอำนาจอยู่ในตัวต่อต้านสิ่งชั่วร้ายได้ แล้วจึงลงบทพระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และก็กำกับด้วยพระพุทธคุณเป็นลำดับสุดท้ายจึงจะสมบูรณ์แบบ เมื่อท่านจะแจกใครท่านจะภาวนาบทพระพุทธคุณอีกครั้งหนึ่งโ

--------------------------------------------
วัตถุมงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ร่มโพธิ เล่มที่ 67 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2538
โดย อาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ

ต่อจากฉบับที่แล้ว

“ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ผู้ให้ของที่ดี ย่อมได้ของที่ดี ผู้ให้ของที่คนเคารพก็ย่อมมีคนนิยมชมชอบ”

หลังจากที่ประกาศแจกรูปหลวงปู่ทิมไปแล้ว ปรากฏว่าได้มีจดหมายไปที่บ้านของผู้เขียนอย่างมากมาย ดีใจครับ...และก็ชื่นใจจนบอกไม่ถูก ทำให้รู้สึกมีพลังผุดขึ้นในใจอย่างประหลาด...และเป็นแรงใจที่ทำให้ผู้เขียนมานั่งทบทวนความจำเก่าๆ...เพื่อที่จะสรรหาวัตรปฏิบัติตลอดจนธรรมะที่ท่านเคยสั่งเคยสอน เคยอบรมบรรดาลูกศิษย์รุ่นเก่ามาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างมีรสชาติ

9 ปีเต็มๆ ที่เทียวไปเทียวมาที่วัดละหารไร่ และ 9 ปีเต็มๆ ที่ได้รับทราบความจริงเกี่ยวกับประวัติ ความศักดิ์สิทธิ์จากผู้เฒ่าผู้แก่ของหลวงปู่ทิม ซึ่งบางคนเวลานี้ได้ล่วงลับไปแล้ว ถ้าไม่บันทึกเสียตอนนี้ต่อไปเด็กรุ่นหลังคงจะไม่มีโอกาสทราบได้

เมื่อผู้เขียนมีเจตนาอย่างแน่วแน่ที่จะเขียนประวัติของหลวงปู่ทิมผู้เป็นบูรพาจารย์ ผู้เขียนจึงอยากจะขอกล่าวความเป็นมาของวัดละหารไร่ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบพอเป็นสังเขป

วัดละหารไร่ตั้งอยู่ที่ หมู่ 8 ต. หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เดิมวัดนี้มีชื่อว่า “วัดไร่วารี” โดยมี หลวงพ่อสังข์เฒ่า เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก

หลวงพ่อสังข์เฒ่า นี้ท่านเป็นพระมีฤทธิ์มาก เป็นพระสมถกัมมัฏฐาน มีความเชี่ยวชาญทางวิชาอาคมสูง เชี่ยวชาญภาษาบาลีแบบมูลกระจายเป็นพิเศษ เดิมที่ท่านอยู่ วัดละหารใหญ่ (อยู่เหนือวัดละหารไร่ไปประมาณครึ่งกิโลเมตร) แต่เนื่องจากตอนที่ที่ท่านอยู่วัดละหารใหญ่นั้น ได้มีชาวบ้านไปกวนท่านบ่อยๆ จนท่านแทบไม่มีเวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์ ท่านจึงหนีชาวบ้านไปสร้างวัดอยู่ลึกเข้าไปอีก

หลวงพ่อสังข์เฒ่านี้ถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ที่มีความสำคัญต่อการเรียนภาษาบาลีรูปแรกของจังหวัดระยอง มีลูกศิษย์ไปเล่าเรียนจากท่านจนสำเร็จเป็นกำลังบริหารศาสนาให้รุ่งเรืองในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ต่อมาเจ้าเมืองระยองได้รับทราบกิตติศัพท์ของท่านจึงได้เดินทางไปนิมนต์หลวงพ่อสังข์เฒ่ามาเป็นเจ้าอาวาส วัดเก๋งจีน (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลระยอง)

หลวงปู่ทิมเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “คุณพ่อสังข์เป็นทวดของนี่เอง มีวิชาอาคมสูงมาก ท่านสำเร็จวิชาทางจิตคิดอะไรก็เป็นไปดังที่คิด แม้กระทั่งน้ำลายของท่านยังไม่กล้าบ้วนทิ้งเพราะถ้าบ้วนลงไปที่พื้นปูน พื้นตรงนั้นจะแตกทันที เป็นวิชาลาลิกาสัมพุทเธ คนที่จะเรียนได้ต้องมีเคล็ด”

แล้วหลวงปู่ก็หยุดพูดคงจะกลัวผู้เขียนถามกระมัง ท่านจึงเฉยเสีย

ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า คนเก่าๆ เวลาป่วยไข้ไปหาหมอ สมัยก่อนไปลำบากมากกว่าจะถึงมือหมอคนเจ็บก็ตายไปแล้ว หลวงพ่อสังข์เฒ่าจึงต้องเสกไพลคอยแจกชาวบ้านอยู่เสมอ บ้านใครป่วยก็ไปขอไพลเสกจากท่านแล้วนำไปรักษาคนป่วย โดยเอาไพลเคี้ยวแล้วพ่นโรคภัยจะหายไปทันที ส่วนไพลที่เหลือหลวงพ่อสังข์เฒ่าสั่งให้ชาวบ้านนำไปปลูกไว้ที่บ้านของตนเอง เวลาป่วยก็ให้ขุดแล้วนำมาพ่นเป่าได้อีกซึ่งยังคงความศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม หลวงปู่ทิมเล่าว่า วัดไร่นี้หลวงพ่อสังข์เฒ่าท่านลงอาคมไว้มากและฝังของลงไปอีกด้วย ใครมีบุญก็อาจจะได้ สมัยที่ผู้เขียนอยู่วัดได้เคยด้อมๆ ดูตามโบสถ์เก่าและเจดีย์เก่า หรือเวลาโยมวัดขุดจอมปลวกก็เคยไปยืนดูเผื่อฟลุคได้ของดีกับเขาบ้างแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้สักที

วัดละหารไร่ ปัจจุบันมีเจ้าอาวาสปกครอง 7 รูป ดังนี้

1. หลวงพ่อสังข์เฒ่า
2. หลวงพ่อแผง
3. หลวงพ่อเกิด
4. หลวงพ่อสิงห์
5. หลวงพ่อจ๋วม
6. พระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่ทิม)
7. พระครูวิจิตรธรรมาภิรัต (หลวงพี่เชย)

ในอดีตที่ความเจริญยังแผ่ไปไม่ถึงวัดละหารไร่ การไปวัดละหารไร่ในยุคนั้นลำบากมากต้องเดินไปตามคันนา..บางทีก็เจอดินโคลนกว่าจะถึงวัดก็เล่นเอาเย็นพอดี..และในยุคนั้นบรรดาเสือร้ายที่มีคดีต่างๆ มักจะอยู่ที่ ต.บางบุตร ใครที่ไปวัดหาหลวงปู่ต้องนับว่าศรัทธาแก่กล้าจริงๆ มิฉะนั้นเป็นต้องเปลี่ยนความตั้งใจแทบทุกคน บางคนไปได้ครึ่งทางก็ตัดสินใจกลับก็มีเพราะกลัวมืดค่ำ..ประเดี๋ยวจะถูกปล้น..แต่โดยมากเท่าที่สังเกตดู ถ้ามีความตั้งใจจริงๆ แล้วก็ไปถึงกันทุกคน..พอไปถึงวัดก็ต้องมีความอดทนในการขออีก..เพราะหลวงปู่ไม่ใช่แจกของให้ง่ายๆ บางคนไปตั้งหลายครั้งเพียรขอตั้งหลายครั้งก็ยังไม่ได้ จนล้มความตั้งใจไม่ขอไปวัดอีกก็มี เพราะหลวงปู่ต้องการเห็นความเพียรของผู้ที่ไปขอของจากท่าน เพราะของของท่านทำลำบาก ถ้าของไม่ดีจริงท่านก็จะไม่ให้ ในยุคนั้นใครไปหาท่านท่านจะแจก “ลูกอม” (ทำด้วยผงพุทธคุณที่ท่านเขียนขนลอดกระดานลงไปที่ถาด) แจก ตะกรุดท้องแก่ หรือ แจกผ้ายันต์ที่ลงกับมือ...หรือบางทีท่านจะแจก ตะกรุดโทน ก็แล้วแต่ใครจะโชคดีได้อะไร..แต่ทุกคนที่ได้ไปต่างก็ดีใจที่ได้รับจากมือหลวงปู่ทุกคน

ผู้เขียนเคยได้ยิน ตาวาน เล่าให้ฟังว่า..หลวงปู่ท่านเก่งทางด้านทำตะกรุด..ไม่ว่าจะเป็นตะกรุดอะไร..ท่านลงได้ทั้งสิ้น เพราะท่านเป็นคนที่ชอบไสยศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ และเป็นคนใจเด็ดทำอะไรจะต้องทำให้เห็นจริง ทดลองให้เห็นกับตาว่า เป็นจริงตามตำราหรือไม่ เมื่อทดลองจนรู้แจ้งแล้ว ท่านจึงจะบันทึกคาถาต่างๆ ที่ท่านได้เรียนมาลงสมุดของท่าน

คณาจารย์เก่าๆ ในยุคก่อนๆ หวงวิชามาก ตำราที่ท่านบันทึกท่านจะบันทึกนิดๆ หน่อยๆ ไม่ค่อยต่อกันจึงทำให้ผู้ที่จะไปเล่าเรียนวิชาอาคมจากท่านต้องมีความพยายามสูง หมั่นถามบ่อยๆ จากท่าน ท่านจึงจะบอกให้ ถ้าไม่ถามท่านก็จะไม่พูด บางทีนั่งดูอยู่เป็นวันๆ ท่านยังไม่พูดกับผู้เขียนเลยถ้าผู้เขียนไม่ถาม

ท่านเคยเล่าว่า การที่จะเรียนวิชาอะไรก็ตามต้องมีสัจจะ แต่คนเราเดี๋ยวนี้ทำของไม่ค่อยขึ้น..ก็เนื่องจากขาดสัจจะตัวเดียว เนื้อหนังจึงเปื่อยหมด ไม่เหมือนคนเก่าเขามีสัจจะ เขาจึงถือของขึ้น

ตาวานยังบอกผู้เขียนให้ขอตะกรุดจากหลวงปู่ เป็นตะกรุดดอกเดียวยางประมาณนิ้วครึ่งพอประมาณตาวานเล่าว่า ตะกรุดนี้ดีมากป้องกันคุณไสยและยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย..ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า “ตะกรุดท้องแก่” ถ้าผู้หญิงออกลูกยากให้เอาตะกรุดนี้แช่น้ำทำเป็นน้ำมนต์ให้ผู้หญิงนั้นกิน เด็กจะออกง่ายดายแบบไม่น่าเชื่อ..แถมยังเป็นแคล้วคลาด ถ้าเก็บไปไว้ที่มีทรัพย์สินขโมยจะลักของไม่ได้เลย เวลาใครปลูกบ้านมักจะมาขอตะกรุดนี้ใส่ลงไปที่เสาเอก และถ้าเก็บตะกรุดนี้อยู่กับตัวก็จะมีแต่สิ่งที่ดีงามเข้ามาอยู่เสมอ ใบหน้าไม่หมองคล้ำจะมีแต่ราศีจับ เป็นเมตตามหานิยมแก้ผู้ที่ได้พบเห็น

ผู้เขียนได้ยินตาวานเล่าถึงอานุภาพตะกรุดนี้จึงรีบไปหาหลวงปู่ทันที ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ ไม่ใช่ว่าไปหาท่านจะได้ทันทีนะครับ ท่านรับฟังตามที่ผู้เขียนได้ยินมาจากตาวาน และท่านก็เฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย ผู้เขียนก็เฝ้าขอเพียรขอ จนในที่สุดท่านก็หยิบมาให้ 1 ดอก ผู้เขียนมองตะกรุดในมือที่หลวงปู่ให้ด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่ได้ดูถูกนะครับ ก็ได้แต่อาราธนาเก็บไว้ในกระเป๋าอยู่เสมอ

จนผู้เขียนได้มีโอกาสไปเรียนที่เชียงใหม่ ปีนั้นผู้เขียนจำเป็นต้องเดินทางไปที่หมู่บ้านที่บ้านป่าบง อ.ฝาง ได้ไปพบชาวบ้านชื่อ นายอ้าย มีเมียชื่อนางหล้า นางหล้ากำลังท้องแก่มากร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวดใกล้ที่จะคลอดแล้ว หมอตำแยพยายามเค้นท้องนางหล้าอย่างสุดความสามารถ แต่นางหล้าไม่มีลมเบ่งเลย ผู้เขียนนั่งฟังดูนายอ้ายพูดอย่างน่าสงสารเพราะเป็นลูกคนแรก ผู้เขียนจึงบอกนายอ้าย ให้ไปเอาน้ำมาครึ่งแก้ว ผู้เขียนจึงหยิบตะกรุดท้องแก่ของหลวงปู่ทิมที่ผู้เขียนพกติดตัวอยู่เสมอ อาราธนาตั้งจิดถึงหลวงปู่..ขอให้ช่วยนางหล้าทีเถิดอย่าให้เป็นอันตรายเลย และก็นำตะกรุดท้องแก่นี้แช่น้ำ จึงให้นายอ้ายเอาน้ำในแก้วไปให้นางหล้าดื่ม

ท่านผู้อ่านครับ ..จะว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ก็ยอมนะครับ นางหล้ากินน้ำในแก้วไปเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันถึง 3 นาทีเลยครับ ทารกน้อยคนนั้นก็คลอดออกมาอย่างง่ายดายเป็นผู้ชายน่ารักน่าชังมากทีเดียว นายอ้ายดีใจขอบคุณผู้เขียนใหญ่เลย ผู้เขียนจึงเอาตะกรุดดอกนั้น มอบให้นางหล้าติดตัวไว้เพราะผู้หญิงเวลาคลอดลูกใหม่ๆ ร่างกายจะอ่อนแอ ภูตผีปีศาจ (ความเชื่อของคนในยุคนั้น) หรือผีเจ้าที่กับเจ้าทางจะเข้าสิงได้ จึงต้องมีของไว้ป้องกันไว้กับตัว

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนเชื่อไสยศาสตร์มากและกลับไปหาหลวงปู่ทิมที่วัด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านบอกดีใจด้วยที่เอาไปช่วยคนเพราะท่านทำของขึ้นมาก็ต้องการนำไปใช้ช่วยคนและเชื่อก็มีประโยชน์ดังที่เห็น ผู้เขียนจึงได้โอกาสขอท่านไว้ติดตัวอีก 1 ดอก ปรากฏว่าท่านเฉยๆ และก็นิ่งไม่พูดกับผู้เขียนอีกเลยในวันนั้น

ตะกรุดท้องแก่นี้ หลวงปู่ได้สร้างขึ้นอีกครั้งเมื่อคราวผูกพัทธสีมาที่วัดละหารไร่ต้นปี 17 คราวนั้นรู้สึกท่านจะออกของมากเป็นพิเศษ วิชาอะไรที่ท่านได้เล่าเรียนมาท่านนำมาทำวัตถุมงคลจนหมด ผู้เขียนจำได้ว่าในตู้กระจกที่ให้ผู้มีศรัทธาไว้ทำบุญนั้นมีวัตถุมงคล อาทิเช่น ตะกรุดโทน ตะกรุดสามกษัตริย์ ตะกรุดสาลิกา ตะกรุดท้องแก่ รูปหล่อกะไหล่ทอง นางกวัก สิงห์ ผ้ายันต์ (ปลุกเสกจนเคลื่อนไหวกระพือได้) ปลัดขิก สาลิกาคู่ (แกะด้วยไม้กาหลง) อันนี้ต้องจองกับ ขรัวรอด (หลวงตารอด) สีผึ้ง พระผงไร่วารี พระผงหัวเล็ก ขุนแผน ลูกอม ฯลฯ ในปีนั้นได้ปัจจัยเฉพาะที่ผู้บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมอย่างเดียวเกือบ 500,000 บาท (นับว่ามากทีเดียวในยุคนั้น)

เดี๋ยวนี้หรือครับ วัตถุมงคลของหลวงปู่แพงมากเหลือเกิน เฉพาะที่คนอยากได้เป็นเจ้าของ หลวงปู่เคยพูดกับผู้เขียนว่า “ของทุกสิ่งของนี่ ที่นี่ปลุกเสกให้เป็นมากๆ ไม่ว่าเป็นอะไรย่อมมีเจ้าของแล้วทุกคน เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เจ้าของจะมารับเท่านั้นเอง” และก็จริงอย่างท่านว่าละครับ ลูกศิษย์ที่มีของท่านเยอะๆ บางคนจำเป็นจะต้องใช้เงิน ท่านก็ย่อมจากเราไปทีละอันสองอัน นานข้าวของที่มีอยู่ก็ย่อมหมดไป บางคนหวงมากไม่ยอมปล่อยให้ใครแต่ถึงวันนั้นตัวเองกลับตายเสียก่อน ลูกๆ จึงนำมาปล่อยในราคาถูกๆ ก็มีถมไป ท่านผู้อ่านอ่านถึงตอนนี้แล้วไม่ต้องเสียใจ สวดมนต์หมั่นระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ประเดี๋ยวท่านก็มาโปรดเอง..และอาจจะได้ในราคาเยาวชนอีกด้วย อันนี้ต้องแล้วแต่บุญเก่าของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าได้แน่นอนเพราะเห็นมาหลายรายแล้ว

หลวงปู่ทิมท่านเป็นพระสมถะ ฉันน้อยแต่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ดังจะเห็นว่าเวลาท่านป่วยท่านจะไม่ยอมเลิกการทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น แม้เวลาปลุกเสกพระเครื่องต่างๆ ที่อยู่ในห้องท่าน ถึงจะนั่งปรกไม่ได้ก็ตาม บางทีผู้เขียนยังเคยเห็นท่านนอนปรกเลย มือของท่านจับสายสิญจน์แต่จิตของท่านอธิษฐานไปที่วัตถุมงคล ผู้เขียนตอนปฏิบัติอยู่ในห้องท่านเห็นท่านทำเช่นนี้รู้สึกสงสารท่านจังเลย เคยบอกท่านว่า หลวงปู่ป่วยอยู่ก็พักเสียบ้างก็ได้ซิ ท่านตอบผู้เขียนว่า “สงสารคนที่มาหานี่ ถ้านี่ไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะ”

จากคำพูดที่ท่านกรุณาพูดให้ผู้เขียนฟังนี้ จึงรู้ว่าหลวงปู่ทิมท่านเจริญพรหมวิหาร 4 อยู่เป็นนิจ ท่านเมตตาทุกคนไม่ว่าบุคคลนั้นจะใหญ่โตมาจากไหน หรือจะยากจนเข็ญใจแค่ไหน ท่านก็ต้อนรับเหมือนกันหมด เสียดายนะที่ท่านผู้อ่านบางคนอยู่ไม่ทันหลวงปู่อยู่ ถ้าท่านได้เห็นแล้วท่านจะประทับใจจากกิริยาวัตรของหลวงปู่ที่หลวงปู่แสดงออกมา ท่านจะต้องติดตรึงอยู่ในใจอย่างมิรู้ลืม..ดังเช่นผู้เขียนได้ประสบเห็นและมีเรื่องมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังอยู่เวลานี้....(อ่านต่อฉบับหน้า)
---------------------------------------------
พลังจิตอันแรงกล้าของหลวงปู่ทิม อิสริโก กับ “เฑาะรันโต”


หลวงปู่เวลากลางคืนประมาณ 2 ทุ่ม ถ้าไม่มีแขก ท่านจะใช้ผมให้คอยนวด ซึ่งผมต้องทำหน้าที่นี้เป็นเวลานานทีเดียว บางวันอยากออกไปจีบสาวช่างทำโบสถ์บ้าง ก็แกล้งใช้เณรให้ไปนวดหลวงปู่แทนเหมือนท่านจะรู้ทัน ท่านจะสั่งให้ไม่ไปไหน ให้อยู่ที่ท่านนั่งและบางทีก็ใช้ให้ลงตะกรุดบ้าง ลงผ้าบ้าง หรือบางทีก็ใช้ให้คัดคาถาบ้าง ยอมรับว่าผมอึดอัดเหมือนกัน กว่าจะหาทางหลบได้ หลวงปู่รู้ทันที จึงต้องจำทนคอยฟังคำสั่งท่าน แต่ท่านก็มีเมตตา ท่านรู้ว่าผมคอยหลบหนีไปเที่ยว ท่านก็บอกว่า “คืนนี้มาหา เดี๋ยวนี่จะลงตะกรุดให้ใช้”หรือบางทีก็บอกว่า “วันนี้ไม่ต้องไปไหน คืนนี้นี่จะให้คาถาเมตตา” พอถึงกลางคืนจริงๆ หลวงปู่ก็บอกจริงเหมือนกันคือ ใช้ให้เราลอกคาถาในตำราของท่านในสมุดของเรา กว่าจะได้แต่ละบทเพลียใจเหลือเกิน เพราะท่านต้องให้ผมท่องให้ฟังทุกครั้งว่าจำได้หรือไม่? ถ้าจำไม่ได้ก็ต้องท่องให้จำได้จึงจะได้เรียนบทใหม่

ผมต้องแอบไปถามหลวงตารอดอยู่เสมอว่า ภาษาขอมตัวนี้ท่านว่าอย่างไร? เพราะบางอย่างอ่านไม่ถูกก็มี หลวงปู่จะเน้นอักขระยันต์ตัว “เฑาะรันโต” มาก ท่านบอกว่าเป็นยันต์แก้วสารพัดนึก เป็นของวิเศษที่มีพุทธคุณสูงเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ 84000 พระธรรมขันธ์ที่ย่อมาเป็นรูปเฑาะรันโต

โดยมีสูตรลงเฑาะรันโตตัวนี้ว่า เฑาะรันโต ศีลสมาธิ เฑาะรันตินะมัตตะโน
เฑาะรันโต กัมมัฎฐานังเฑาะรันตังนะมามิหัง

“เฑาะรันโต” เป็นอักขระวิเศษที่หลวงปู่มักลงในวัตถุมงคลเป็นรูปเสมือนพระธรรมของพระพุทธเจ้า จะเห็นว่ามีเกจิอาจารย์หลายท่านนิยมลงยันต์ตัวนี้ประทับหลังเหรียญของตน เช่น หลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี และคณาจารย์อื่นๆ อีกมากโดยเฉพาะ หลวงปู่ทิม ท่านจะลงยันต์นี้ที่ผ้า หรือตะกรุดโทน หรือวัตถุมงคลอื่นๆ ตามแต่เห็นสมควร และยังมีหลวงพ่ออีกรูปหนึ่ง คือ หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม สมุทรสาคร ซึ่งใครนำวัตถุมงคลไปให้ท่านลง ท่านจะลงเฑาะรันโตด้วยปากกาเมจิให้ทันที อักขระเฑาะรันโตเขียนดังนี้ (รูปประกอบด้านล่าง)

ผมได้อัญเชิญคำร้อยกรองของท่านพระอริยกวี มาให้ท่านผู้อ่านได้ทรบถึงคุณวิเศษของอักขระยันต์ตัวนี้มีอำนาจสูง โดยเฉพาะคณาจารย์รุ่นเก่านิยมใช้ยันต์ตัวนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า หรือ หลวงพ่อคง วัดบางพร้อม สมุทรสงคราม แม้กระทั่ง หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ซึ่งท่านก็ใช้ตัวเฑาะรันโต เป็นยันต์ครูมาตลอดและประทับอบู่บนหลังเหรียญของท่าน

------------------------------
วัตถุมงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ร่มโพธิ เล่มที่ 66 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538
โดย อาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ
ประสบการณ์ตะกรุดโทน ลป ทิม วัดละหารไร่ อันโด่งดัง
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่โทรศัพท์ไปยังบ้านผู้เขียนพร้อมกับให้กำลังใจ บางคนถึงกับลงทุนจะไปหาผู้เขียนถึงที่บ้านด้วยตนเอง
อย่าไปเลยครับ...ไม่ใช่ว่าจะถือตัวหรืออวดดีอะไร เพราะไปถ้าพูดคุยถึงเรื่องประวัติของหลวงปู่ก็ยินดีจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าไปเพื่อขอเช่าวัตถุมงคล...บอกจริงๆ นะครับว่าเวลานี้ไม่มีเลย จะมีก็แต่เฉพาะที่ใช้อยู่กับตัวเท่านั้น 8 ปีที่ผจญภัยและไปเปิดร้านจำหน่ายอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้เช่าและแจกฟรีไปเสียส่วนมาก

เพื่อนๆ ที่ผู้เขียนแนะนำให้เก็บหลวงปู่ทิมไว้ เดี๋ยวนี้หรือครับ...รวยกันไปหมดแล้ว บางคนก็ไปหาผู้เขียนที่บ้าน ผลหรือครับ...ไม่เคยเจอกันเลย เพราะดวงของผู้เขียนอยู่ติดที่ไม่ได้ ต้องระเหเร่รอนไปเรื่อยๆ หลังจากที่หลวงปู่ทิมเสียเสียแล้ว ก็เคยไปอยู่ที่หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ โคราช ยังจำคำพูดทีท่านพูดไว้กับผู้เขียนว่า “มาอยู่กับไหม สัก 3 ปี รับรองรวยไม่รู้เรื่อง” ถ้าเชื่อท่านป่านนี้ได้นั่งเบนซ์รุ่นใหม่ไปนานแล้ว

วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม ที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ทุกรุ่น ใครมีไว้เชื่อได้เลยครับว่า ชาตินี้ท่านไม่ตกอับแน่นอน ยิ่งถ้าจิตผู้ใช้บริสุทธิ์ สร้างแต่กรรมดี ท่านยิ่งชอบใหญ่ และท่านจะยิ่งช่วยเหลือยามที่เราเจอภาวะเดือดร้อน ยิ่งตอนนี้เป็นยุคไฮเทค หรือยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ มักจะไม่เชื่อถือทางไสยศาสตร์ แต่อย่าลืมนะว่า บรรพบุรุษของเราสมัยก่อน ปกป้องบ้านเมืองจนเราได้อยู่จนทุกวันนี้..ก็เพราะความเชื่อในด้านไสยศาสตร์เป็นพื้น

ดังเช่น หลวงพ่อวัดฉลอง ภูเก็ต ท่านปลุกเสกผ้าประเจียดเพื่อให้คุ้มครองชาวบ้าน ไม่ให้เป็นอันตรายจากโจรอั้งยี่หรือโจรแยกดินแดน หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนออกศึกท่านจะต้องคาดเครื่องรางและของขลังและอาราธนาวัตถุมงคลติดตัวอยู่เสมอ..จนทำให้เมืองไทยพ้นวิกฤติการณ์..ได้เป็นเอกราชจนพวกเรามี่แผ่นดินไทยอาศัยอยู่อย่างสบายๆ ก็เพราะพระบารมีขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และองค์พระสยามเทวาธิราช องค์พระพรหม องค์พระเถระคณาจารย์ที่ได้ล่วงลับ...ท่านสถิตอยู่ที่พื้นที่ไทยจึงทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากากรถูกต่างประเทศรุกราน..ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ตัวเราที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หรือของประเทศมหาอำนาจหมด

ผู้เขียนคิดว่าดวงวิญญาณของพระปฐมกษัตริย์หรือดวงวิญญาณของคณาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านคงจะแผ่รังสีบารมีธรรมคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย อย่าลืมนะครับว่า เมืองไทยเรานี้มีการปลุกเสกพระเครื่องอยู่บ่อย และในปีหนึ่งปีหนึ่งมีเป็นร้อยครั้ง เมื่อทำพิธีก็ต้องอัญเชิญเทวดา..อ่านโองการอัญเชิญเทพพรหม พระอินทร์...ท่านเหล่านี้สถิตย์อยู่บนสวรรค์ เมื่อเราทำพิธีเชิญท่าน ท่านก็ต้องมา เหมือนกับโลกมนุษย์ ถ้าเรามีการ์ดไปเชิญ คนที่ถูกเชิญก็ต้องมา ถ้าไม่มาก็ฝากคนอื่นไป

แต่ในโลกของเทวดา ผู้เขียนเคยฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงปู่บุดดา กล่าวไว้ว่า เทวดา เทพพรหม..ในสรวงสวรรค์ ท่านคอยปกป้องลูกหลานในไทยอยู่เสมอ พอเราอ่านโองการชุมนุมครูท่านก็สะดุ้งทุกที เพราะไม่เคยมีเวลาเป็นของตัวเองเหมือนกับโลกมนุษย์..เดี๋ยวคนนี้เรียก..เดี๋ยวคนนั้นเรียก..ท่านจะปฏิบัติธรรมเพื่อตนเองก็ไม่ค่อยว่าง ต้องคอยช่วยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

ผู้เขียนอารัมภบทมานานแล้ว จะขอวกไปที่เรื่องราวของหลวงปู่ทิมเสียที วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมเวลานี้ ถ้าใครอยากได้ เวลานี้ต้องเช่าซื้อราคาแพงมากเหลือเกิน ในความรู้สึกของผู้เขียนที่เคยอยู่และรับใช้หลวงปู่ทิมมาเป็นเวลา 9 ปีทีเดียว ท่านมักจะบอกและพูดอยู่เสมอว่า “อะไรก็ได้ ถ้านับถือนี่ นี่จะช่วยเอง” ฉะนั้นจะเป็นของของท่านไม่ว่ารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ถ้าผู้สร้างสร้างด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ใช้ได้ผลเช่นกัน แต่นั่นแหละครับ..บางคนก็บอกว่า ถ้าจะให้ดี ถ้าได้ผ่านมือท่าน ยิ่งดีใหญ่

ท่านผู้อ่าน..หรือผู้ที่นับถือหลวงปู่ทิมในยุคก่อน ถ้าเคยไปวัดละหารไร่ ตอนที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ หลวงปู่มักจะแจก “รูปกระดาษที่มียันต์ล้อมรอบ (กระดาษสารพัดกัน)” ให้แก่ผู้ที่ไปกราบท่านและบอกว่าให้นำไปติดรถหรือติดบ้าน

รูปกระดาษนี้ทางคุณชินพร สุขสถิตย์ ได้ย่อมาจากรูปถ่ายสีชมพูแผ่นใหญ่ จุดประสงค์ผู้สร้างต้องการให้ผู้รับนำรูปกระดาษนี้นำไปติดรถหรือพกใส่กระเป๋าไว้เพื่อป้องกันตัว เพราะยันต์ที่หลวงปู่ทิมลงในกระดาษนี้เป็นยันต์สุดยอดในด้านป้องกันตัวและแคล้วคลาด..แถมยังเป็นเมตตามหานิยม พูดง่ายๆ ว่าครอบจักรวาลทีเดียว

เวลาผู้เขียนนวดท่านในตอนกลางคืน ท่านหยิบรูปกระดาษนี้และพูดว่า “เพียรเชื่อไหม รูปนี้มีพุทธคุณเทียบเท่าตะกรุด 1 ดอกทีเดียว” (หลวงปู่มักเรียกผู้เขียนสั้นๆ ว่าเพียร)

สำหรับชื่อที่หลวงปู่ทิมจะเรียกลูกศิษย์ของท่านแต่ละคนนั้น ผู้เขียนจะขอบอกให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจ เพราะการเขียนในครั้งนี้เขียนทำคำบอกเล่าที่หลวงปู่มีชีวิต และพวกเราในยุคนี้มีชื่อทันสมัย ท่านก็เรียกชื่อยาก..ท่านจึงเรียกตามความเข้าใจของท่าน เช่น

คุณชินพร สุขสถิตย์ หลวงปู่จะเรียกว่า “พร”
คุณประชา ตรีพาสัย หลวงปู่จะเรียกว่า “คนขายยา” (บ้านคุณประชาเป็นร้านขายยา)
คุณอารมณ์ ทับสุวรรณ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนพระมาก” (คุณอารมณ์ชอบใส่พระไว้ที่คอมากๆ)
คุณวิรัช ชำนาญณรงค์ หลวงปู่จะเรียกกว่า “จอมโวกวาก” (คุณวิรัชเวลาพูดมักจะเสียงดัง)
คุณสุขุม แสงชูวงศ์ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนทดน้ำ” (ทำงานเป็นหัวหน้าอยู่ที่กรมชลประทาน)
คุณมงคล นาคแพน หลวงปู่จะเรียกว่า “ช่างทำโบสถ์” (ช่างรับเหมาทำโบสถ์)

ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีบทบาทและหน้าที่ไปตามความสามารถของตนเอง ถ้าผู้เขียนกล่าวถึงใครก็ขอให้ท่านผู้อ่านทราบด้วยว่าเป็นใครนะครับ
จะกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรูปถ่ายกระดาษ ที่เราๆ มักจะเรียกกันว่า “รูปนะกัน” (หรือกระดาษสารพัดกัน) ตามที่ อาจารย์ดุษฎี ศิริโวหาร ได้บันทึกไว้ว่า

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2518 มีโจรพวกหนึ่ง 4 คน ได้เกิดดวลปืนกลมือกับตำรวจ สภ.อ.บ้านค่าย ฝ่ายโจรมีเอ็ม 16 ประจำตัว ฝ่ายตำรวจมีเพียงปืนนาโต้และคาบินเอ็ม 1 ผลปรากฏว่าฝ่ายโจรตาย 3 คนและหลบหนีไปได้ 1 คน (ภายหลังตำรวจจับได้) ฝ่ายตำรวจไม่มีใครเสียชีวิตเลยจะมีก็บาดเจ็บที่ไหล่เล็กน้อย 1 คน เนื่องจากคนร้ายยิงด้วยเอ็ม 16 กระสุนโดนโครงรถ เศษตัวถังหลุดกระเด็นไปโดนหัวไหล่บาดเจ็บเล็กน้อย

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเสนอข่าวพาดหัวจนดังมากในยุคนั้น สถานที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณดุษฎีเท่าไหร่นัก ดังนั้นคุณดุษฎีจึงต้องเข้าหาข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด โดยขอพบ พ.ต.ต.นูล โสมทัต ผบ.สภ.อ.บ้านค่าย (เดี๋ยวนี้ท่านเป็น พ.ต.อ.ชื่อดังมากในกรณีเพชรซาอุ) ท่านก็ได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า

ขณะที่ตำรวจตำบลหนองกรับได้ทำการตรวจรถยนต์อยู่ที่ด่านหัวชวด เวลาประมาณ 22.30 น. ได้มีรถยนต์มาสด้าปิ๊คอัพสีเหลืองวิ่งผ่านด่านไป โดยไม่ยอมให้ตรวจ ตำรวจประจำด่านจึงได้ขอยืมรถยนต์อีซูซุไล่กวด พอจะทันกันห่างประมาณ 20 เมตร คนร้ายได้ยิงด้วยเอ็ม 16 รัวไปที่รถยนต์ของตำรวจหนองกรับประมาณ 20 นัด กระสุนไปโดนรถยนต์และกระจกหน้าแตกและทะลุไปโดนกระจกหลังแตก

แต่เป็นที่มหัศจรรย์มาก กระสุนปืนไม่ถูกตำรวจที่นั่งในรถเลย มีอยู่นัดหนึ่งเท่านั้นที่โดนตัวถังรถ เหล็กฉีกกระเด็นไปโดนหัวไหล่ของ พลตำรวจบรรยง คุ้มหอม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จากนั้นคนร้ายก็ได้หลบหนีไป

เนื่องจากคนร้ายมีอาวุธร้ายแรง พ.ต.ต.นุล จึงวิทยุรายงานไปที่ พ.ต.ต.วิทยา สุทธิการนฤนัย ผกก. ทราบ และนำกำลังออกสกัดทุกจุดที่คิดว่าคนร้ายจะหนีไป จากนั้น พ.ต.ต. นุล โสมทัต จึงได้เตรียมอาวุธปืนเท่าที่ สภ.อ.บ้านค่ายจะมีคือ ปืนกลมือนาโต้และคาไบด์ นำกำลังตำรวจออกติดตามในคืนนั้นเอง ได้พบกับพวกโจรที่บ้านชะวึก จึงเกิดการดวลปืนกลมือกันขึ้นท่างกลางเดือนหงาย ภายในรถยนต์ปิ๊คอัพสีฟ้ายี่ห้อโตโยต้า ประจำ สภ.อ.บ้านค่าย ซึ่งมี พ.ต.ต.นูล และนายสิบตำรวจ 2 นายขับรถสวนกับคนร้าย

ฝ่ายคนร้ายได้สาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ายตำรวจก็ตอบโต้อย่างไม่ลดละ..เสียงดังสนั่นหวั่นไหว..นับว่าเป็นศึกดวลปืนกลมืออย่างแท้จริง ผลปรากฏว่าคนร้ายตาย 3 คนบาดเจ็บและโดนจับได้ 1 คน

จากเหตุการณ์นี้ทำให้คุณดุษฎี ศิริโวหาร อยากทราบว่าพวกคนร้ายมีพระอะไรห้อยคอบ้างและฝ่ายตำรวจใช้พระอะไร ผลลัพท์หรือครับ..ฝ่ายโจรไม่มีพระเครื่องใดๆ ทั้งสิ้น..แต่ฝ่ายตำรวจโดยเฉพาะ พ.ต.ต.นุล โสมทัต มีพระเครื่องหลวงปู่ทิมอยู่หลายองค์ที่เดียว ส่วนตำรวจที่ไปด้วยก็มีตะกรุดโทนของหลวงปู่อยู่ทุกคน

มีข้อสังเกตอยู่ที่ว่า รถยนต์โตโยต้าสีฟ้าประจำอยู่ที่ สภ.อ.บ้านค่าย ซึ่งเป็นคันที่ผู้กองนูลนั่งและวิ่งสวนกับรถคนร้ายนั้น กระสุนของฝ่ายโจรไม่ได้โดนรถคันนี้เลย ทั้งที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงายสว่างมากทีเดียว และปืนที่คนร้ายใช้ยิงก็เป็นปืนสงครามคือเอ็ม16 ที่มีความแม่นยำสูงมาก กระสุน .223 ที่มีอัตราการยิงเร็ว 600 นัดต่อนาทีและความเร็วเป็นสองเท่าของเสียง คือ 1,005 เมตรต่อวินาที การที่กระสุนไม่ถูกตำรวจและรถยนต์เลย ถ้าไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร และในรถยนต์ของผู้กองนูล มีกระดาษยันต์สารพัดกันติดอยู่แผ่นเดียว

สำหรับกระดาษยันต์สารพัดกันนี้ ปัจจุบันมีของเทียมแล้วครับ กระดาษจะหนาและไม่มีความเก่า ถ้ามีของแท้ก็จะสามารถเปรียบเทียบให้เห็นได้ ถ้าใครจะเช่าซื้อก็ให้ระวังหน่อยก็แล้วกัน สำหรับตัวผู้เขียนในสมัยนั้นได้มามาก ก็แจกจ่ายสร้างบารมีไปเรื่อยๆ จนหมด

แต่ถ้าท่านผู้อ่านนับถือหลวงปู่ทิมอย่างจริงใจ ผู้เขียนได้รับรูปกระดาษยันต์จากคุณประชา ตรีพาสัย มาประมาณ 200 รูป ซึ่งรูปกระดาษยันต์นี้คุณประชาได้ทำการแจกจ่ายเมื่อ ปี พ.ศ. 2537 ได้นำเข้าพิธีปลุกเสกมาหลายคณาจารย์ ครั้งสุดท้ายได้นำไปให้ หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา จ.ระยอง อัดพลังจิตอย่างเต็มที่ (หลวงปู่บุญ เป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติเหมือนหลวงปู่ทิมมาก) และรูปกระดาษยันต์ ผู้ที่ได้รับไปต่างก็ประสพกับความศักดิ์สิทธ์ต่างๆ ตามแต่จะอธิษฐาน

ถ้าผู้อ่านหรือผู้ที่นับถือหลวงปู่ทิมอยากได้ มีกติกาง่ายๆ คือตัดบัตรแจกฟรีในหนังสือร่มโพธิ ฉบับนี้แนบมาพร้อมซองจดหมายติดแสตมป์จ่าหน้าซองถึงตัวท่านให้ชัดเจนส่งมายังผู้เขียนตามที่อยู่นี้ นายเพียรวิทย์ จารุสถิติ 023 ถนนชุมพล (บ้านทิมภิรัต) จ.ระยอง 21000

ผมจะจัดส่งให้ อย่าลืมนะครับโปรดทำตามกติกาด้วย และรูปกระดาษยันต์นี้ ถ้าหมดก็หมดไปเพราะผู้เขียนแจกฟรี เพื่อประกาศเกียรติคุณของหลวงปู่ทิมผู้เป็นบูรพาจารย์และเป็นที่ระลึกว่า ผู้เขียนได้มีโอกาสกลับมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ของหลวงปู่ทิมให้ผู้อ่านได้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง.....(อ่านต่อฉบับหน้า)
----------------
ประสบการณ์ ตระกรุดโทน
พ.ศ. 2516 ยิงไม่ออก ยิงไม่ถูก

วัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงปู่ทิมอย่างแน่นอน ซึ่งหลวงปู่ทิมท่านได้มอบให้ อาจารย์บาง พระลูกวัดเขาน้อยเป็นผู้สร้าง คือพระปิดตาและพระชุดนี้ผมได้เห็นกับตาว่า หลวงปู่ทิมสามารถปลุกให้เต้นได้จริงๆ พระชุดนี้ผมได้ขอท่านเก็บไว้ด้วยความหวงแหนเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งพระชุดนี้สร้างปี พ.ศ.2516 นับถึงปีนี้ (พ.ศ.2542) เป็นเวลา 26 ปีเต็มพอดี จัดเป็นพระปิดตาของท่านรุ่นแรกก็ได้ มีผู้โทรมาถามผมว่า พระปิดตารุ่นนี้มีเนื้อกี่สี ซึ่งผมก็ให้คำตอบไม่ได้ เนื่องจากสมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่ทิม ก็ได้เห็นอยู่สีเดียว คือ สีเหลืองอ่อน บางองค์อาจแก่น้ำตาลไปนิดเดียว

หลังจากที่หลวงปู่ทิมได้มรณภาพแล้ว ผมและ พระครูประดิษฐ์คุณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดเนินกระปรอก ซึ่งท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทิมได้เดินทางไปยังวัดเขาน้อยเพื่อขอพระชุดนี้นำมาแจกผ้าป่าที่วัด ซึ่งในสมัยนั้น หลวงพ่อสูตร ได้รับพระปิดตาชุดนี้จากหลวงปู่ทิมเป็นจำนวนมากและได้นำมาแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ของท่านจนหมด เมื่อลูกศิษย์ได้รับพระชุดนี้ไป ได้นำไปใช้ติดตัวเกิดปรากฏการณ์เด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านคุ้มครอง ด้านเมตตา-มหานิยม ไปไหนเดินทางโดยปลอดภัย จึงได้มีผู้คนเดินทางมาขอท่านเป็นจำนวนมากซึ่งท่านได้แจกจ่ายไปจนหมดท่านจึงไม่รู้ว่าจะเอาที่ไหนมาแจกอีก จึงได้ชวนผมขึ้นไปหาอาจารย์บางที่วัดเขาน้อย ได้เห็นอาจารย์บางกำลังกดพระปิดตาพิมพ์นี้อยู่ ซึ่งท่านได้กดขึ้นเป็นจำนวนมาก มีหลายสีหลายเนื้อ บางองค์ก็ใส่พลอยลงไปด้วย จึงทำให้ผมไม่คิดเก็บสะสมพระเครื่องชุดนี้ เก็บเฉพาะที่ตนเองได้รับมาจากหลวงปู่ทิมเมื่อ ปี 16 เท่านั้น

ถ้าใครเคยไปกราบหลวงปู่ทิมที่วัดเมื่อ ปี พ.ศ.2516 และไปขอวัตถุมงคลจากท่านในปีนั้น หลวงปู่จะเดินเข้าไปในห้องและหยิบพระปิดตารุ่นนี้มาแจก ซึ่งท่านจะแจกให้เพียงองค์เดียว และขอเพิ่มท่านจะไม่ให้ และถ้าไปเซ้าซี้ท่านมากๆ ท่านจะวางเฉยเสีย และวันนั้นอย่าหวังเลยที่จะได้รับของจากท่านอีก ซึ่งผมได้เห็นมากับตาจริงๆ

วันนั้นได้มี นายอินและนายลุ้ง ซึ่งเป็นช่างตัดผมอยู่ข้างวิกศรีอุดม จ.ระยอง เดินทางไปกราบหลวงปู่ทิมที่วัด หลังจากได้กราบและนั่งพูดคุยกับหลวงปู่แล้ว ก่อนจะกลับทั้งสองได้ขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่ฯ ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเดินเข้าไปในห้องนอนและหยิบพระปิดตารุ่นนี้ออกมาก 2 องค์พร้อมกับลูกอม 2 เม็ด นายอินจึงบอกหลวงปู่ขอพระปิดตาเพิ่มอีก ท่านได้ฟังเช่นนั้นจึงเอาวัตถุมงคลทั้ง 2 อย่างที่หยิบมาจากในห้องนอนวางไว้ข้างๆ ตัว และนั่งที่หน้าห้องทำแบบไม่สนใจ

นายอินและนายลุ้ง พยายามขอจากท่าน ท่านก็ไม่ส่งให้ นั่งรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นหลวงปู่หยิบให้เสียที ซึ่งผมนั่งดูอยู่ในที่นั้นรู้ทันทีว่า 2 คนนี้ไม่มีโอกาสได้รับของดีจากหลวงปู่แล้ว ถ้าจะได้ก็ต้องมาวันหลัง

จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า หลวงปู่ท่านย่อมมองเห็นคุณค่าของวัตถุมงคลที่ท่านจะมอบให้ใคร เพราะท่านย่อมทราบดีว่าวัตถุมงคลที่ท่านทำในแต่ละครั้งไม่ใช่ “ของง่าย” ท่านทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ฉะนั้นถ้าใครไม่ทราบถึงนัยนี้ จะมาขอท่านเหมือนขอขนม ท่านจะไม่ยอมให้ใครงายๆ เช่นกัน

ผมเคยนำพระปิดตารุ่นนี้ ไปทดลองยิงที่หลังวัดละหารไร่ เนื่องจากสงสัยว่า “มหาอุด” จะมีจริงอยู่ในองค์พระซึ่งสร้างด้วยเนื้อผงล้วนๆ จะมีอานุภาพกันปืนได้หรือไม่ จึงได้ชักชวน พี่นำ และ เณรฉ่ำ เดินทางเข้าไปในทุ่งนา ซึ่งอยู่หลังวัดละหารไร่โดยใช้ปืนของพี่นำ (นายบุญนำ นาคภักดี) เป็นผู้ยิง

ผลการทดลองครั้งนั้น พระปิดตาปี 16 รุ่นนี้ ยิงครั้งแรกไม่ออก ยิงครั้งที่ 2 และที่ 3 ออกแต่ไม่ถูก ส่วนตะกรุดโทนและลูกอมที่ใส่รวมกันปรากฏว่ายิงไม่ออกทั้ง 3 นัด

กลับมาถึงวัดถูกหลวงปู่ทำโทษใช้ให้ไปขุดต้นไม้และล้างส้วมถึง 3 วัน เล่นเอาพวกเราเข็ดหลาบไปตามๆ กัน จากการทดลองในครั้งนั้น ทำให้ผมเห่อพระปิดตารุ่นนี้มาก ได้เลี่ยมและอาราธนาติดตัวอยู่เสมอ แม้ทุกวันนี้พระปิดตาองค์นี้ที่ทดลองก็ยังอาราธนาใส่อยู่ในตลับทอง ใครจะว่าของใครดีเราไม่สน เพราะเราทดลองและเห็นมากับตา จึงเป็นสิ่งยืนยันได้

ภายหลังผมได้เห็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ เมื่อหลวงปู่ทิมปลุกเสกพระปิดตารุ่นนี้ ถึงกับเคลื่อนไหวเต้นกราวอยู่บนถาด แบบนี้จะไม่ให้ผมนับถือท่านและจะให้ผมไปนับถือใคร จึงทำให้ผมได้มีโอกาสขอพระปิดตารุ่นนี้ที่เต้นกราวจากหลวงปู่ซึ่งท่านก็เมตตาให้ไว้

ปัจจุบันวัตถุมงคลที่ได้รับการปลุกเสกจากหลวงปู่ทิม ย่อมเป็นที่เสาะแสวงหาของชนทั่วไป อาจเป็นเพราะว่า กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า ท่านเป็นพระจริงพระแท้ และวัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกให้ศิษยานุศิษย์นำไปใช้นั้น สามารถคุ้มครองและป้องกันภัยให้บุคคลผู้นั้นได้จริง จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านเปรียบเสมือนสิ่งที่ “ล้ำค่า” ที่ใครๆ อยากได้ไว้เป็นเจ้าของซึ่งบางคนก็ต้องเสี่ยงกับ “ของปลอม” บางคนห้อยคออยู่มานาน มารู้ภายหลังว่าสิ่งที่ตนเองนับถือเป็นของไม่จริง ก็รู้สึกเสียความรู้สึกเช่นกัน แต่ทำไงได้โดนไปแล้วต้องทำใจ

มีบางคนถามว่า มวลสารที่ผสมในพระปิดตาชุดนี้เป็นอย่างไร ผมขอรับรองว่า มวลสารที่ผสมอยู่นี้ย่อมคงคุณค่าอย่างแน่นอน สมัยก่อนไม่ได้สร้างเพื่อเป็น “พุทธพานิช” เหมือนสมัยนี้ บรรดาเกจิอาจารย์ที่มีความรู้จริงย่อมพิจารณาผงวิเศษต่างๆ และมวลสารที่มีคุณค่าสูงซึ่งกว่าจำได้แตะละชนิดต้องใช้เวลา เมื่อทำเสร็จแล้วก็ต้องทำพิธีปลุกเสกให้ถูกต้องตามตำราที่ตนเรียนมา บางคน “ร้อนวิชา” มากๆ อาจจะทำการทดลองให้เห็นจริงเสียก่อน เมื่อเป็นจริงและเห็นจริงแล้วจึงค่อยมอบลูกศิษย์เอาไปใช้ ถ้าเป็นของไม่ดีให้ไปใช้มีหวังกระบาลแยกกลับวัดแน่ๆ รังแต่จะทำให้เสียชื่อวัดเปล่าๆ
ราคาเปิดประมูล680 บาท
ราคาปัจจุบัน700 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 17 พ.ย. 2554 - 22:18:09 น.
วันปิดประมูล - 19 พ.ย. 2554 - 18:04:10 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลjackyjacky (1.1K)(1)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     700 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    aek23 (229)(3)

 

Copyright ©G-PRA.COM