(0)
เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น 4 สวย + รอยจารชัดเจนครับ








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องเหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น 4 สวย + รอยจารชัดเจนครับ
รายละเอียดเหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น 4 ปี 2521 เนื้อทองแดง สร้างเนื่องในโอกาสฉลองอายุ 90 ปีของท่าน

สำหรับประวัติของท่าน

หลวงปู่ มีนามเดิมว่า “ไพฑูรย์ (เย่อ) ” นามสกุล “กงเพ็ชร์” บิดามารดา เป็นชาวรามัญ โยมบิดาชื่อ “เกาะ” โยมมารดาชื่อ “สา” เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีชวด ที่บ้านทมัง ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ มีญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันทั้งสิ้น ๔ คนคือ นางหนู นายบ๊ะ หลวงปู่เย่อ และนายเว่

เนื่องจากบิดามารดา เป็นชาวรามัญที่เคร่งครัดต่อประเพณีนิยมและมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา เมื่ออยู่ในเยาว์วัย บิดาจึงพาไปทำบุญที่วัดด้วยเสมอ ทำให้เลื่อมใสต่อบวรพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ มีจิตใจใคร่ศึกษาธรรม ฝักใฝ่ต่อการเรียนรู้เพราะความใกล้ชิดระหว่างบ้านกับวัดเป็นสาเหตุสำคัญ ดังนั้นเมื่อวันที่ ๖กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ ท่านมีอายุได้เพียง ๑๓ ปี บิดา มารดาผู้หวังจะให้บุตรได้ศึกษาหาความรู้จึงได้พาท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรน้อย ที่วัดอาษาสงคราม โดยมีท่านพระมหาขันธ์เป็นอาจารย์ให้ศีลและอนุสัยบวชให้ หลังจากนั้นก็ได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัยทั้งไทยและรามัญ จนมีความชำนิชำนาญ โดยเฉพาะอักขระขอมรามัญ จึงทำให้ท่านสามารถค้นคว้าตำราและคัมภีร์ต่างๆ ของรามัญได้อย่างกว้างขวาง เกิดความรอบรู้ทั้งทางปริยัติธรรมและวิชาแขนงต่างๆ ทางพุทธศาสนาตลอดจนวิชาการแพทย์ตามแบบโบราณสมัย ไว้เพื่อช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านอีกด้วย

ครั้งเป็นสามเณรน้อยท่านดำรงตนเคร่งครัด อยู่ในศีล มีจริยาวัตรงดงาม ผ่องใสด้วยธรรมของพระพุทธองค์ จึงเป็นที่ปิติของบิดามารดาและบรรดาญาติพี่น้อง ตลอดจนครูอาจารย์และชาวบ้านที่พบเห็น ต่างก็ชื่นชมโดยทั่วกัน นอกจากนั้นท่านเองก็มีความแจ่มใสอยู่ในเพศบรรพชิต จึงตั้งจิตมั่นคงที่จะรับใช้พุทธศาสนาอยู่จนชีวิตหาไม่
อุปสมบท

สืบมาอายุกาลของท่านย่างเข้าครบ ๒๐ ปี จึงเป็นที่ยินดีปรีดา ของโยมบิดา มารดาและญาติพี่น้องจะได้ทำการอุปสมบทสามเณรน้อยให้เป็นพระภิกษุผู้สืบ อายุพระพุทธศาสนาต่อไป พร้อมใจกันจัดแจงเตรียมพิธีการต่างๆ ให้สมกับศรัทธาที่มุ่งมั่น สมัยนั้นวัดอาษาสงครามยังไม่มีพระอุโบสถและพันธเสมาก็ได้พากันไปใช้พระ อุโบสถของ วัดพญาปราบปัจจามิตร ซึ่งอยู่ติดกันนั้น แล้วนิมนต์ให้พระอธิการทอง วัดโมกข์ เป็นอุปัชฌาย์ พระอธิการเกลี้ยง วัดพญาปราบปัจจามิตรเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาโต วัดโมกข์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ กำหนดวันอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งหมายกำหนดไว้ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “โฆสโก” แปลได้ว่า ผู้มีความกึกก้องกังวาน หมายถึงมีธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลถ้วนทั่วนั่นเอง

หลังจากอุปสมบท แล้ว ท่านก็ยิ่งเพิ่มทวีศึกษาทางพระพุทธศาสนาทั้งทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระมี ความรู้แตกฉานจนจบโดยเฉพาะบาลีแบบรามัญ ท่านมีความสามารถมาก แต่ยังไม่ทันได้เข้าสอบ “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส” ทรงมีพระบัญชาให้เลิกการสอบแบบปากเปล่า (มุขปาฐะ) และทรงยกเลิกการสอบแบบปากเปล่าทั้งทางบาลีไทยด้วย ให้สอบโดยการขีดเขียน แบบที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้

ถึงแม้ท่านจะไม่ได้สอบ ไม่มีใบรับรองความรู้อย่างใดก็ตาม แต่ความสามารถทางธรรมของท่านก็แตกฉาน สามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์และภิกษุสามเณร หยิบยกข้อธรรมวินัย ที่มีหลักธรรมและคติธรรมมาสั่งสอนอย่างแคล่วคล่อง ทำให้ผู้ได้รับการสั่งสอนมีความรู้ ความสบายใจ ซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง จนมีศิษย์ของท่านสามารถผ่านการสอบได้เปรียญสูงๆ มากองค์ด้วยกัน ชาวบ้านที่มีความทุกข์เดือดร้อน ท่านก็ใช้หลักธรรมกล่อมเกลาอบรมสั่งสอน จนคลายทุกข์เดือดร้อนได้ บางคนที่มีความประพฤติไม่ดีงาม ท่านก็สั่งสอนให้แก้ไขปรับปรุงให้กำลังใจเขาจนกลับตัวได้ มีชีวิตมั่งมีศรีสุขเจริญขึ้น เป็นเจ้าคนนายคนก็มีไม่น้อย

นับได้ว่า ท่านเป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่งทีเดียว มีความชำนิชำนาญแม่นยำ ทั้งภาษาไทยและภาษารามัญ ผู้ใดมีปัญหาติดขัด ข้องใจปัญหาหลักภาษาหรืออักขระอย่างไร ท่านก็จะช่วยเหลือชี้แจง อธิบายให้จนแจ่มแจ้งเข้าใจได้อย่างถูกต้อง แสดงให้เห็นได้ว่าท่านชอบสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่เหน็ด เหนื่อย มีความเมตตาต่อผู้อื่นอยู่เสมอ

ต่อมาท่าน พิจารณาเห็นว่า สิ่งที่จะทำให้ล่วงพ้นความทุกข์ไปได้นั้นก็คือ การมุ่งศึกษาทางปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ท่านจึงมุ่งกลับไปศึกษา ทางวิปัสสนากรรมฐานโดยการค้นคว้าด้วยตนเองจากตำราภาษารามัญจนมีเข้าใจเป็น อย่างดี จึงแสวงหาอาจารย์ผู้ทรงคุณในทางปฏิบัติ ท่านจึงเดินทางไปศึกษากับ “หลวงพ่อหลิม” วัดทุ่งบางมด ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดทุ่งโพธิ์ทอง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีความสามารถทางวิปัสสนาสูง และเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางพุทธเวทย์วิทยาคม อันมีชื่อเสียงเกรียงไกรในยุคนั้น หลวงพ่อหลิมนั้นท่านสร้างเครื่องรางของขลังแจกจ่ายประชาชน ของของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้ผล ทางเมตตามหานิยมนับว่ายอดเยี่ยมมาก เป็นต้นว่า นางกวัก ของท่านปัจจุบันมีค่าหาได้ยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัก-ยม” ของหลวงพ่อหลิมนั้น ไม่มีอาจารย์ผู้ใดทำได้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนของท่าน หลวงปู่เย่อได้ขอศึกษาวิปัสสนากับหลวงพ่อหลิมจนหลวงพ่อหลิมออกปากชมว่า หลวงปู่เย่อมีความเพียรพยายามดีมาก แม้จะมีอุปสรรคกีดขวางอย่างไร ก็พยามฟันฝ่าเดินทางไปศึกษาโดยมิยอมลดละ ซึ่งในสมัยนั้น ถนนหนทางก็มิใช่จะสะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ การเดินทางจากพระประแดงไป วัดทุ่งบางมดจะต้องใช้เรือแจวไปกว่าจะถึงก็ใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว

เมื่อ สำเร็จวิชาการวิปัสสนาจนมีความเชี่ยวชาญชำนาญดีแล้ว หลวงพ่อหลิมซึ่งมีความเมตตาหลวงปู่เย่อมาก จึงได้ให้เรียนวิชาทางพุทธเวทย์วิทยาคมต่อ หลวงปู่ก็พยายามศึกษาเวทย์มนต์คาถาที่หลวงพ่อหลิมประสิทธิ์ประสาทให้ด้วย ความขยันหมั่นเพียร ตั้งอกตั้งใจ เอาจริงเอาจัง จนเกิดความชำนาญสามารถทำเครื่องรางของขลังที่ได้เรียนมา ใช้ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

หลังจากนั้นท่านก็ยังไม่หยุดที่จะศึกษาหา ความรอบรู้ ท่านถือคติที่ว่าการศึกษาไม่มีการจบสิ้น ยิ่งรู้มากก็จะทำให้มีหูตากว้างไกล ชีวิตคือการศึกษา ผู้รู้มากกว่าย่อมฉลาดมากกว่า ความรู้มีอยู่ทั่วไปผู้ฉลาดจะต้องพยามเพียรแสวงหาอยู่เสมอ ประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา มือใครสั้นก็เอาเถาวัลย์ต่อเข้า เมื่อเรียนวิชาจากหลวงพ่อหลิมจบสิ้นแล้ว ท่านจึงไปขอศึกษาวิชาจาก “อาจารย์กินรี” วัดบ้านเชียงใหม่ และ “อาจารย์พันธ์” วัดสกา อาจารย์สองท่านนี้ เป็นเถราจารย์ชาวรามัญที่มีความแก่กล้าทางคาถาอาคมไสยเวทย์มาก สามารถเสกสิ่งของให้มีชีวิตให้เห็นได้กับตาเช่นเดียวกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า วิชาทางพุทธเวทย์วิทยาคมนั้นถ้าจะกล่าวแล้วของรามัญมีมาแต่โบราณ มีชื่อเสียงมาก จะเห็นได้ว่าในสมัยประวัติศาสตร์ ท่านมหาเถรคันฉ่อง อาจารย์ผู้ขมังเวทย์ชาวรามัญ ได้ใช้ความเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาญาณและคาถาอาคม แสดงให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและทหารหาญได้ทอดพระเนตรประจักษ์แก่สายตา เมื่อครั้งการรณยุทธที่แม่น้ำสะโตง ภายหลังท่านมหาเถระ ได้รับเกียรติคุณเป็นถึง “สมเด็จพระพนรัต” วัดป่าแก้ว สังฆราชฝ่ายอรัญวาสี แห่งกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นแบบฉบับแห่งคัมภีร์ทางพุทธเวทย์วิทยาคมสืบต่อมาแต่ครั้งกระโน้น

อาจารย์พันธ์ วัดสกานั้นท่านมีชื่อทาง สีผึ้งเมตตามหานิยม ที่ทำจากน้ำมันช้างพลายตกมัน คือเอาน้ำมันตรงซอกหูช้างที่ไหลขณะตกมัน มาเคี่ยวกับสีผึ้งใต้ร้านบวบด้วยพระเวทย์ สีผึ้งนั้นใช้ทางเมตตามหานิยมเป็นเยี่ยม

สำหรับ พระอาจารย์กินรี นั้นท่านชำนาญทั้งทางคงกระพันและเมตตา ทางคงกระพันท่านสร้างผ้าประเจียดสีแดงสวมต้นแขน เล่ากันว่าคงกระพันชาตรีชนิดแมลงวันไม่ได้กลิ่นเลือดทีเดียว

หลวงปู่เย่อ ได้ขอศึกษาสืบต่อวิชา จากท่านอาจารย์ทั้งสองนี้ไว้จนเจนจบสิ้น นับว่าท่านมีความเพียรสูง เพราะการศึกษามิใช่เรื่องง่ายๆ จะต้องใช้พลังจิตตั้งใจมากจึงจะสำเร็จ จากนั้นมาท่านก็เฝ้าเพียรฝึกฝนวิปัสสนาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ค้นคว้าตำรับตำราของรามัญเก่าๆ ที่มีอย่างเงียบๆ เพียงลำพังมิได้แสดงตนให้ผู้ใดทราบ เพราะหลวงปู่เป็นผู้มีความมักน้อย ถ่อมตนอยู่เป็นนิสัย การเจรจาก็สงบเสงี่ยมอยู่ในศีลแห่งสมณะ สมเป็นพุทธบุตรโดยแท้

หลวง ปู่เป็นเถระที่มีความคิดก้าวหน้าอยู่เสมอ มีความสนใจการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองเห็นแก่ประโยชน์ของสาธารณะเป็นที่ ตั้ง สนับสนุนทางด้านการศึกษาของพระภิกษุสามเณรให้มีความรู้โดยการจัดตั้งให้มี การเรียนการสอนทางด้านพระปริยัติธรรม นอกจากนั้นยังสร้างสรรค์ถาวรวัตถุไว้มากมายเพื่อให้เกิดเป็นศรีสง่าแก่บรรดา ผู้พบเห็น และสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงต่อไป

สิ่งก่อสร้างที่หลวงปู่สร้างไว้เพื่อให้ชาว บ้านได้ใช้ประโยชน์มีหลายอย่างเช่น เมรุฌาปนสถานและศาลาการเปรียญซึ่งใหญ่โตสวยงาม หลวงปู่ใช้เวลาสร้างเพียงปีเดียวก็สำเร็จ แสดงให้เห็นว่ามีผู้ศรัทธาหลวงปู่มาร่วมแรงร่วมใจกันอย่างดียิ่ง สำหรับที่อยู่อาศัยของภิกษุสามเณรท่านก็สร้างสรรค์ไว้ให้ใหม่เป็นที่งดงาม เจริญตา ช่วยเสริมสร้างศรัทธาให้แก่ผู้พบเห็น วัดอาษาสงครามที่ได้เห็นงดงามเป็นศรีสง่าในปัจจุบันนี้ก็ด้วยบารมีแห่งหลวงปู่โดยแท้

สมณศักดิ์

ด้วยกุศลราศีบารมีที่หลวงปู่ได้สร้างสรรค์ตลอดมานั้นเป็นที่ประจักษ์กันโดยแพร่หลายทั่วไปจึงทำให้หลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ดังนี้

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็น “พระครูสังฆวิจารณ์” ฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) ครั้งเมื่อยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดราชบพิตร

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็น “พระครูสังฆวุฒาจารย์” พระครูสัญญาบัตร

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็น “พระครูสังฆวุฒาจารย์” พระครูสัญญาบัตรชั้นโท

*** เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่นครเขื่อนขันธ์อันโด่งดังมาตั้งแต่อดีตกาล ต้องสูญเสียพระอริยสงฆ์ไปอีกท่านหนึ่ง คือ หลวงปู่เย่อ แห่งวัดอาษาสงคราม ซึ่งท่านได้ถึงแก่มรณภาพไปเมื่อเวลา ๐๘.๑๐ น. ของวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ สิริรวมอายุได้ ๙๔ ปี ด้วยโรคชรา ท่านจากไปท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย คงทิ้งไว้แต่คุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสรรค์ไว้เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำ แก่อนุชนรุ่นหลังสืบไปชั่วกาลนาน ***

*** เหรียญนี้พิเศษตรงที่มีรอยจารที่ชัดเจน เป็นวัตถุมลคลอีกรุ่นที่หลวงปู่ท่านปลุกเสก แต่ราคายังเบาอยู่มาก น่าสะสมครับ ***
ราคาเปิดประมูล380 บาท
ราคาปัจจุบัน400 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 07 ก.พ. 2566 - 13:28:23 น.
วันปิดประมูล - 12 ก.พ. 2566 - 11:49:56 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลpooke (2.7K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     400 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    tonboon (35)

 

Copyright ©G-PRA.COM