(0)
หนุมานครองเมือง เนื้อนวะแก่เงิน มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโกสร้างเพื่อทำบุญหล่อพระเจ้าตากสินมหาราช วังสามพระยา วัดละหารไร่ ระยอง








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องหนุมานครองเมือง เนื้อนวะแก่เงิน มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโกสร้างเพื่อทำบุญหล่อพระเจ้าตากสินมหาราช วังสามพระยา วัดละหารไร่ ระยอง
รายละเอียดหนุมานครองเมือง เนื้อนวะแก่เงิน มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโกสร้าง เพื่อทำบุญหล่อพระเจ้าตากสินมหาราช วังสามพระยา วัดละหารไร่ ระยอง

เพื่องานกฐินนี้ปลุกเสกหลายรอบ
* วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๑ หลวงปู่ผาดปลุกเสกเดี่ยว ณ วัดบ้านกรวด
**วันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมาเป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งถือเป็นวันแรงเหมาะแก่การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง พระครูบุญญาภินันท์ หรือ ท่านเจ้าหรีด วัดปาโมกข์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ทำพิธีไหว้ครูประจำปี พร้อมทั้งปลุกเสกเดี่ยวเครื่องรางของขลัง ตามตำรับเขาอ้อ ที่ยังไม่มีวัดใดทางใต้สร้างมาก่อน ในฐานะศิษย์ของท่านเจ้าหรีด คุณชินพร สุขสถิตย์, คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ นำคณะศิษย์หลวงปู่ทิม อิสริโก จำนวนหนึ่งไปร่วมพิธีครอบครูพร้อมทั้งได้นำหนุมานผ่านศึก และรูปเหมือนขนาดห้อยคอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, ตะกรุดอ้อป่อง(ปัญญาไว), ตะกรุดมหารูด จารมือ ที่ทำขึ้นเป็นของสมนาคุณกฐินบ้านกรวด ไปร่วมพิธีปลุกเสกเดี่ยวในครั้งนี้ด้วย เจ้าหรีด ไหว้ครู สร้างสุดยอดเครื่องราง ผานไถ, ตะกรุดกระบือชนเสือ, ลูกไฟปะลัยกัลป์ ... เจ้าตาก, หลวงปู่ทิม ก็มาร่วมด้วย
***วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ หลวงปู่ผาดปลุกเสกเดี่ยว ณ วัดบ้านกรวด
****วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ยังนำเข้ากลางประรำพิธีบวงสรวงปลุกเสกวัตถุมงคล ณ วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง

เนื่องด้วยหลวงปู่ผาดปลุกเสกหลายรอบและท่านเสกเต็มสูตร เต็มๆเลย ครับ จนครั้งหลังสุดบอกว่าพอแล้วเต็มแล้ว แรงเหลือเกิน
พุทธคุณ หนุมานครองเมือง มาทาง หน้าที่การงาน ความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้า ราบรื่น แต่ด้วย มีจารหัวใจหนุมานใต้ฐานและสำคัญอุดผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ตรงนี้สำคัญ เพราะเป็นเมตตามหานิยมและโชคลาภ จะ จะ เจ๋ง ยอดสุดๆ (เคล็ด(ไม่)ลับ มีอยู่ว่า สมควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แด่หนุมานก่อนจะได้ผลดังที่กล่าวมา ทั้งหมด ขอให้ ขอและหมั่นสังเกตุ ก็จะทราบดีว่า จริงไหม)
ราคาเปิดประมูล699 บาท
ราคาปัจจุบัน739 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 09 ม.ค. 2552 - 15:49:58 น.
วันปิดประมูล - 11 ม.ค. 2552 - 23:36:31 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลmahalap (5.1K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 09 ม.ค. 2552 - 15:55:00 น.
.


วัตถุมงคลรุ่นแต้เม้ง และหนุมานผ่านศึกได้รับ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ปลุกเสกเดี่ยวอยู่หลายรอบ กล่าวคือ
• วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๑ ณ วัดบ้านกรวด
• วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ วัดบ้านกรวด
• วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ ได้นำเข้ากลางประรำพิธีบวงสรวงปลุกเสกวัตถุมงคล ณ วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง
• อีกทั้งเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา เป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งถือเป็นวันแรง เหมาะแก่การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง พระครูบุญญาภินันท์ หรือ ท่านเจ้าหรีด วัดปาโมกข์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ได้จัดทำพิธีไหว้ครูประจำปี พร้อมทั้งปลุกเสกเดี่ยวเครื่องรางของขลัง ตามตำรับเขาอ้อที่ยังไม่มีวัดใดทางใต้สร้างมาก่อน ในฐานะศิษย์ของท่านเจ้าหรีด คุณชินพร สุขสถิตย์, คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ นำคณะศิษย์หลวงปู่ทิม อิสริโก จำนวนหนึ่งไปร่วมพิธีครอบครูพร้อมทั้งได้นำหนุมานผ่านศึก และรูปเหมือนขนาดห้อยคอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตะกรุดอ้อป่อง ( ปัญญาไว ) ตะกรุดมหารูดจารมือ ที่ทำขึ้นเป็นของสมนาคุณกฐินบ้านกรวด ไปร่วมพิธีปลุกเสกเดี่ยวในครั้งนี้ด้วย เจ้าหรีดได้ไหว้ครูและสร้างสุดยอดเครื่องราง อันได้แก่ ผานไถ ตะกรุดกระบือชนเสือ และลูกไฟปะลัยกัลป์ ซึ่งผู้รูบางท่านได้กล่าวว่าดวงจิตวิญญาณของพระเจ้าตาก และหลวงปู่ทิม ก็ได้เมตตามาร่วมในพิธีนี้ด้วยด้วย
ทั้งนี้ หลวงปู่ผาดปลุกเสกอยู่หลายรอบ และท่านเสกเต็มๆ สูตร จนครั้งหลังสุดท่านบอกว่าพอแล้ว เต็มแล้ว แรงเหลือเกิน โดยพุทธคุณหนุมานครองเมืองจะหนักมาทางหน้าที่การงาน ให้บังเกิดความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าราบรื่น อีกทั้งยังมีจารหัวใจหนุมานอยู่ใต้ฐาน และที่สำคัญคืออุดด้วยผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ที่เป็นเมตตามหานิยมและโชคลาภสุดยอด เคล็ด (ไม่ ) ลับมีอยู่ว่า ผู้ได้รับไปสมควรที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แด่หนุมานเพื่อที่จะได้ผลดังที่กล่าวมาทั้งหมด ( ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานขอ และหมั่นสังเกตุดู ก็จะทราบดีว่า จริงไหม )

สีบเนืองจากบทความข้างต้นมาจนถึงการทำบุญทำกุศลนั้น สามารถทำได้หลายอย่างหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญใส่บาตรหรือการถือศีลกินเจก็เป็นอานิสงฆ์บุญกุศลทั้งสิ้น สิ่งที่สำคัญคือ จิต และเจตนา ของแต่ละบุคคลที่มีการกระทำด้วยกาย วาจา และใจ ว่าสะอาดหมดจด หรือบริสุทธิ์เพียงใด ก็ย่อมก่อเกิดอานิสงส์บุญกุศลเพียงนั้น
เมื่อมีอานิสงฆ์บุญกุศลก่อเกิดแก่ตนแล้ว การจะอุทิศหรือแผ่บุญกุศลให้ผู้ใดนั้น ก็เปรียบดังที่เรามีเงินอยู่กับตัว และจะแบ่งให้ใคร หรืออย่างไรก็ได้ เพราะบุญนั้นเป็นของเราเองทั้งสิ้น ( ได้เขียนอธิบายการอุทิศบุญกุศลไว้ช่วงท้าย ) โดยที่พระพุทธองค์ก็ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้วว่าการทำบุญเช่นใด จะได้รับอานิสงส์สูงต่ำตามลำดับอย่างไร นั่นคือ
• ทำบุญกับ พระพุทธองค์
• ทำบุญกับ พระอริยสงฆ์ผู้หลุดพ้น อันได้แก่ พระอรหันต์ หระโหธิสัตว์ทั้งหลาย พระปัจเจกโพชน์
• ทำบุญกับ บรรพบุรุษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดา มารดา ผู้เปรียบดังพระอรหันต์ของบุตร และธิดา
• ทำบุญกับเหล่า พรหม เทพ เทวะ ที่มีบุญบารมีทั้งหลายทั้งปวง
• ทำบุญกับ ผู้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ
• ทำบุญกับ ผู้ยากไร้ อดอยากหิวโหย
• ทำทานกับ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย
แต่บุญที่ทำได้ดี ง่าย สดวก และเหมาะแก่ทุกคน ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไปก็คือการทำบุญกับตัวเอง อันเป็นการเริ่มต้นที่ต้องมีการ ครองสติ และการ รักษาศีล ของพระพุทธองค์ โดยเริ่มต้นจาก ศีลข้อแรก ที่สอดคล้องกับคำสอนใน ศีลเจพรต ของ องค์พระมหาโพธิสัตต์เจ้าพระแม่กวนอิม นั่นคือ การรักษาความบริสุทธ์ของกาย วาจา และใจ ด้วยการ ไม่เบียดเบียน ที่เริ่มต้นด้วยการบริโภค อาหารที่บริสุทธิ์ ปราศจากการเบียดเบียนชีวิต เลือดเนื้อ หรือไขมันสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง กล่าวคือ
ในปีหนึ่งๆ ที่ผ่านไปนั้นเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องตกเป็นอาหารของมนุษย์เราอย่างนับไม่ถ้วน นั่นคือ การเบียดเบียนเข่นฆ่าผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยถือคตินิยมว่าเนื้อสัตว์เป็นอาหารที่มีรสชาดอันโอชะของปวงมนุษย์ ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับว่า มนุษย์เราทุกๆ ผู้เป็นผู้ที่มีป่าช้าอยู่ในตัวเอง ทุกผู้ เพราะมีซากสัตว์ตกลงสู่กระเพาะของเราอย่างมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นป่าช้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งกว่ามหาสมุทรที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็มและไม่มีขอบเขตจำกัด ทั้งๆ ที่การเบียดเบียนสัตว์นี้เป็นเรื่องของการ ก่อหนี้กรรม กับสัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น เพราะหากยิ่งกินเนื้อสัตว์มากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มการประกอบกรรมมากขึ้น และจะเป็นเหตุให้เหล่าดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความอาฆาตแค้นสะสมมากขึ้นเท่านั้น
มนุษย์เราทุกคนจึงควรที่จะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงเรื่องการเบียดเบียนสิ่งที่มีชีวิต และจิตวิญญาณ เพราะ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีจิตวิญญาณ เช่นเดียวกัน ต่างกันแต่ว่ามนุษย์นั้นแสดงออกให้เห็นถึงความโลภ โกรธ หลง อย่างเด่นชัด
• เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกยกย่องจากเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองว่าเป็น สัตว์ประเสริฐ กล่าวคือ มีสติปัญญา มีความรู้และความเฉลียวฉลาดที่จะสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการกระทำของแต่ละผู้ได้
• ส่วนสัตว์ทั้งหลายนั้นถูกเรียกว่า สัตว์เดรัจฉาน เพราะ ขาดสติปัญญา ในการพิจารณา ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่ไม่เหมือนมนุษย์นั่นเอง
มนุษย์มีสมองในการที่จะพิจารณาเลือกการกระทำของตนเองได้ ซึ่งจิตวิญญาณของเหล่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีความต้องการเลือกการกระทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีโอกาสที่จะทำได้ และต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมที่ได้กระทำไว้ตามกรรมของตน ในขณะที่มนุษย์เราทั้งหลายมีโอกาสจะประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สามารถทำให้จิตวิญญาณได้ขึ้นสวรรค์ ลงนรก หรือหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ซึ่งเท่ากับว่า มนุษย์เป็นผู้มีโอกาสเลือกการกระทำของตน
ฉะนั้น มนุษย์จึงควรที่จะรักษาความประเสริฐและรักษาโอกาสของตนไว้โดยการ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และไม่เบียดเบียนสัตว์ เพราะการเบียดเบียนสัตว์นั้นเป็นการสร้างความอาฆาตพยาบาท ซึ่งมีผลผูกพันไปถึงครอบครัวและลูกหลานของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะมนุษย์เราไปพรากเขาจากครอบครัวที่มีสื่อสัมพันธ์ในด้านความรักและการสืบสายเลือดเช่นเดียวกับมนุษย์
ในด้านของการบริโภคเนื้อสัตว์นั้น มนุษย์เราบางผู้อาจจะคิดว่าในเมื่อเรามิได้เป็นผู้ลงมือกระทำการเบียดเบียนชีวิตด้วยตัวเราเอง เราเพียงแต่เป็นผู้ไปซื้อเนื้อสัตว์มาประกอบเป็นอาหารเท่านั้นเราจะมีบาปด้วยหรือ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ ก็จงใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างเป็นธรรมดูเถิดว่า การที่ผู้อื่นประกอบกรรมในการฆ่าสัตว์นั้น เขาก็ย่อมหวังที่จะทำการค้าโดยหวังผลกำไรจากการที่เราไปซื้อเนื้อสัตว์นั้นๆ เพราะฉะนั้น การที่ เราไปซื้อเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเราเป็นผู้ส่งเสริมให้มีการฆ่าสัตว์นั่นเอง
และหากแม้นเป็นกรณีที่ผู้อ่านบางท่านอาจอ้างว่า การซื้อเนื้อมาบริโภคโดยที่มิได้ลักขโมยมานั้นจะเป็นบาปด้วยหรือ ก็ขอให้เราได้พิจารณาต่อไปด้วยใจ เป็นธรรม และมีความ เป็นกลาง อย่างแท้จริง โดยตรองให้ลึกซึ้งเถิดว่า
• เรานั้นเป็นผู้ที่ส่งเสริมการกระทำบาปให้เกิดขึ้นโดยทางอ้อมหรือไม่
• หรือ เราเปรียบเสมือนเป็นผู้สั่งฆ่าหรือไม่
• เพราะ ผู้ที่กระทำการฆ่า ก็เปรียบเสมือนกับ เพชฌฆาต ที่เป็น ลูกจ้างของผู้สั่งฆ่า นั่นเอง ฉะนั้น
- ผู้ที่เป็น เพชฌฆาตย่อมจะมีความผิดที่ต้องได้รับโทษอย่างมหันต์
- และ ผู้ที่สั่งฆ่าก็ย่อมจะต้องมีความผิดด้วย เช่นเดียวกัน
จงตรองดูเถิดว่า จิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายก็มี ความอาฆาตแค้น มี ความผูกพัน อยู่กับ ครอบครัว หรือ สิ่งที่ตนรักและหวงแหน ก็ย่อมที่จะต้อง ตามล้างตามผลาญเพื่อชดใช้หนี้กรรมสืบต่อกันไป ดังนั้น ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะหลงติดอยู่ในรสชาดของเนื้อสัตว์ว่าเป็นอาหารอันโอชะ และสามารถบำรุงร่างกายของมนุษย์ให้มีความเจริญเติบโต เพื่อให้เกิดมีพลังในการประกอบสัมมาอาชีพก็ตาม แต่มนุษย์เราพิจารณากันบ้างหรือไม่ว่า พืชผักที่มีอยู่มากมายเหลือคณานับ อันเป็นสิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณ และไม่มีจิตอาฆาตแค้น ก็เป็นอาหารที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลในการบำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น มนุษย์เราจะนำพืชผักเหล่านี้มาเป็นอาหารเพื่อจะเป็นการทดแทนอาหารที่ทำขึ้นจากเนื้อสัตว์ไม่ได้เชียวหรือ เพราะ การละจากการบริโภคเนื้อสัตว์ก็เป็นการหยุดก่อหนี้กรรม และ หยุดการสะสมนำซากสัตว์เข้าสู่ป่าช้าในร่างกายของเรา หากมนุษย์เราสามารถละจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็น กุศล ต่อตัวเราเองที่ ไม่เบียดเบียนสัตว์ มากเท่านั้น
• การเบียดเบียน นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีการ ตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจ คือ
- ตั้งใจ หมายถึง การกระทำด้วยความเต็มใจ หรือสั่งให้ทำด้วย จิตที่มุ่งมั่น ในการสั่งให้ทำ
- ไม่ตั้งใจ หมายถึง การกระทำที่ขาดเจตนาในการทำ หรือหากแม้นทำลงไปแล้วเกิดความเดือดร้อน แต่ผลทั้งหลายก็ยังเบาบางอยู่บ้าง เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ตั้งใจ
ยกตัวอย่างเช่น ความละเอียดอ่อนในกรณีที่มีการทำบุญทำกุศลในการจัดทำอาหารเพื่อการถวายภัตตาหาร โดยที่มีการกระทำที่ดีที่สุด ที่เรียกว่าพยายามไม่ให้มีการเบียดเบียนแล้ว แต่ก็ยังเกิดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์เล็กๆ โดยที่ ไม่มีความตั้งใจ จะฆ่า หรือ ไม่เจตนา ที่จะฆ่านั้น องค์พระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ก็ได้มีการกำหนดจิตอธิษฐานในข้อ อภัยทาน ที่ถูกต้องไว้แล้ว
ฉะนั้น สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่นมด หรือแมลงทั้งหลาย ที่เราไม่ได้มีเจตนาทำร้ายให้ตาย แต่เป็นการกระทำโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ กระทำด้วยความปราณีตแล้ว นั้น จงอย่าได้นำจิตไปผูกพันกับสิ่งที่เกิดขึ้น และให้ถือเสียว่าเป็นวาระที่สัตว์เหล่านั้นหมดอายุขัย จิตเราก็จะเกิดความสบายใจได้ และหากตั้งใจกระทำด้วยความปราณีตสืบต่อไป นั่นคือการกระทำที่มีการ รักษาสติ และมี ความรอบคอบ ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เหตุทั้งหลายก็จะเกิดน้อยที่สุด
จุดเริ่มต้นของพระมหาโพธิสัตว์ที่อธิษฐานจิตอยู่คู่โลก คือ การสอนให้มนุษย์ไม่เบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่าโดยการไม่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหาร และให้รู้ถึงบาป บุญ คุณ โทษ ที่เอาเนื้อเขามากินเพื่อบำรุงบำเรอความสุขของตน โดยที่มนุษย์ทั้งหลายตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองว่าหากมนุษย์เราขาดเนื้อสัตว์แล้วร่างกายจะเจริญเติบโตไปไม่ได้ แต่ครั้งดึกดำบรรพ์มานั้นมนุษย์เราทุกผู้ทุกนามก็อยู่กันมาแบบสัตว์ด้วยกันทุกผู้ จนเกิดการพัฒนามาถึงขั้นที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ และเรียกสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า สัตว์เดรัจฉาน
ในความจริงแล้วเราก็เป็น สัตว์โลก ด้วยกันทั้งสิ้น แต่มนุษย์เรามีการพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นกว่าสัตว์ทั้งหลาย คือมีมันสมองเพื่อนำมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรก็ดี เพื่อการยังชีพอยู่ก็ดี หรือแม้แต่เพื่อการข่มเหงรังแกผู้อื่น และเป็นปัญหาต่างๆ ขึ้นมา จนกลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างผิดๆ ว่า สัตว์ประเสริฐสามารถรังแกสัตว์เดรัจฉานที่มีสติปัญญาด้อยกว่า หรือมีกำลังน้อยกว่า หรือในบางโอกาสสัตว์เดรัจฉานอาจจะมีกำลังมากกว่า แต่ก็ย่อมแพ้ภัยต่อผู้มีปัญญาเหนือกว่า ฉันใดฉันนั้น
พระมหาโพธิสัตว์ได้บัญญัติว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่มีความอ่อนแอด้วยสติปัญญาก็ดี หรือด้วยกำลังก็ดี มนุษย์เราจึงควรจะ มีเมตตาจิต ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดในการนำเนื้อสัตว์มาบริโภคเป็นอาหาร เพราะเนื้อสัตว์แต่ละชิ้นก็เปรียบเสมือนเนื้อมนุษย์แต่ละชิ้น เช่นเดียวกัน จงลองพิจารณาดูว่าหากเราเสียขาไปข้างหนึ่งเราจะมีความเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือไม่ เพราะขาข้างนั้นก็มีเนื้อของเราติดอยู่ เช่นกัน
หากมนุษย์เราเข้าใจถึงการเปรียบเทียบนี้เราก็จะสามารถมองเห็น ทุกข์ ของตัวเองว่า
• การเบียดเบียนผู้อื่น ผู้นั้นย่อมมีทุกข์
• เราเบียดเบียนเขา จิตของเราก็ย่อมมีทุกข์
• แต่หากเรา ละจากการเบียดเบียนได้ จิตของเราก็จะผ่องใส ไม่มัวหมอง ไม่ติดอยู่ใน กิเลส ของ การเข่นฆ่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อันจะเป็นอานิสงส์บารมีเกิดขึ้นที่จิต
• เพราะหากจิตของเราสะอาด คือ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือ ไม่เบียดเบียนตนเอง จิตของเราก็มิต้องไปกังวลถึงบาป บุญ คุณ โทษ ก็ย่อมที่จะได้ประโยชน์ ได้บุญกุศลกับผู้อื่นและกับตนเองอย่างแน่นอน
ส่วน ผู้ที่ยังติดรสการบริโภคเนื้อสัตว์ คือยังต้องการที่จะกินเนื้อ สัตว์อยู่นั้น อาจ มีจิตที่เข้าข้างตัวเอง และค้านขึ้นมาว่ากินเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นมีโทษอะไร เวลากินก็อร่อย แล้วจะไปเกิดความสังเวชตามที่กล่าวมานี้ได้อย่างไร นี่คือจิตของผู้ที่ มิได้มีการพิจารณาถึงบาป บุญ คุณ โทษ เลย และ มัวแต่คำนึงถึงความต้องการในรสอร่อยที่ตนพอใจ แต่เพียงฝ่ายเดียว โดย ไม่ยอมรับรู้ในความทุกข์ของผู้อื่น ซึ่งจิตของผู้ที่มิได้มีการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ในขั้นกลางหรือขั้นสูงจะมีลักษณะเช่นนี้ เพราะ ผู้ที่มีจิตขั้นกลางจะเกิดความสังเวชต่อเนื้อสัตว์ ที่ตนกินเข้าไป และบางโอกาสก็มีความเพิกเฉย นั่นก็คือ ไม่เห็นถึงความเอร็ดอร่อยของเนื้อสัตว์ ที่จะบำรุงบำเรอกระเพาะและลิ้นของตนเอง
สำหรับ ผู้ที่มีจิตขั้นสูงจะไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย เพราะว่าสามารถตระหนักถึง บาป บุญ คุณ โทษ ของการบริโภคเนื้อสัตว์ ได้ดี เปรียบเสมือนกับ คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่เปรียบมนุษย์เป็นบัว ๔ เหล่า นั่นเอง
• เหล่าบัวที่กำลังจะพ้นจากน้ำ ก็ย่อมเล็งเห็นโทษของการเบียดเบียนสัตว์
• แต่ ผู้ที่ยังอยู่ในโคลนตม ก็ย่อมจะเห็นพระธรรมคำสั่งสอนเป็นเรื่องตลกขบขันว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง เห็นเพียงแต่ว่ามนุษย์เราเกิดขึ้นแล้วก็สูญไปเท่านั้นเอง
ฉะนั้น หากเราไม่เห็นว่าเนื้อของสัตว์เป็นสิ่งที่น่าเอร็ดอร่อย จิตของเราก็ย่อมจะสูงขึ้น เปรียบดัง ดอกบัวที่กำลังจะพ้นน้ำ และหากเรามีสติปัญญาหมั่นเพียรศึกษาประพฤติปฏิบัติในคำสอนของพระพุทธองค์ จิตของเราก็ย่อมจะสูงขึ้นถึงขีดสุด และย่อมที่จะมีโอกาสหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้อย่างแน่นอน

การอุทิศอานิสงส์บุญกุศล
คำว่า “กุศล” หมายถึง “บุญ” หรือ “กรรมดี” และคำว่า “อุทิศ” หมายถึง “การให้” ดังนั้น การอุทิศอานิสงส์บุญกุศล ในที่นี้จึงหมายถึง
• การตั้งจิตอุทิศบุญกุศลที่เกิดจากผลของกรรมดี ที่ได้มีการกระทำแล้ว
• ซึ่งเราสามารถที่จะตั้งจิตอุทิศอานิสงส์ผลบุญที่เกิดจากการกระทำของตัวเราเองได้ ๓ วิธี คือ
๑.) การกรวดน้ำ คือการตั้งใจอย่างแน่วแน่เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับ ท่านเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้หนึ่งผู้ใด ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานหลั่งรินน้ำที่สะอาดใส่ขัน หรือภาชนะใดๆ อันเป็นเครื่องหมาย และเป็นเครื่องรวมกระแสจิตเพื่ออุทิศอานิสงส์ผลบุญให้ตกสู่ ........................( ผู้ที่ต้องการอุทิศบุญกุศลให้ ) และนำน้ำที่กรวดแล้วนั้นไปเทลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยอธิษฐานขอต่อพระแม่ธรณีเพื่อการนำอานิสงส์ผลบุญไปสู่.............................อีกต่อหนึ่ง
๒.) การจุดธูปบอกกล่าว คือการตั้งจิตอธิษฐานโดยใช้ธูปเป็นสื่อในการบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อการขอเมตตานำอานิสงส์บุญกุศลไปสู่........................ หรือหากมีจิตใจที่มั่นคงก็สามารถตั้งจิตบอกกล่าวด้วยตนเอง เพื่ออุทิศอานิสงส์บุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรหรือผู้นั้นโดยตรง
๓.) การนั่งปฏิบัติสมาธิ คือการนำผลของการทำสมาธิให้จิตเกิดความสงบ ก่อเกิดเป็นบุญกุศล เกิดเป็นพลังของกระแสจิตที่แน่วแน่ และสามารถที่จะอุทิศอานิสงส์บุญกุศลให้กับ............................... ได้โดยตรงอีกทางหนึ่ง

( ตัวอย่างการกล่าวอุทิศอานิสงส์บุญกุศล )

“ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศอานิสงส์ผลบุญกุศลที่ก่อเกิดจากการกระทำกุศลในคุณงามความดีของข้าพเจ้าในกาลครั้งนี้ให้กับ............................ ขอให้ท่านทั้งหลายจงอนุโมทนารับอานิสงส์บุญกุศลในครั้งนี้ และได้โปรดเมตตาช่วยเหลือเกื้อหนุนกันสืบต่อไป”

หมายเหตุ ๑.) ในกรณีที่อุทิศส่วนกุศลเฉพาะตนเอง ให้ตั้งจิตอธิษฐานกล่าวคำอุทิศในใจโดยวิธีใดวิธีหนึ่งได้ทั้ง ๓ วิธี
๒.) ในกรณีที่อุทิศส่วนกุศลเป็นหมู่คณะก็ให้กระทำตามวิธีที่ ๑ คือการกรวดน้ำ โดยให้นำน้ำสะอาดใส่ขันแล้ววางไว้ข้างหน้าหรือตรงกลางหมู่คณะ แล้วคล้องสายสิญจน์จากขันน้ำโยงมาให้ทุกผู้จับไว้ และให้มีผู้ที่นำกล่าวอุทิศส่วนกุศลตามตัวอย่างข้างต้นโดยให้ทุกๆ ผู้ตั้งจิตอธิษฐานตามด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่หรือไม่วอกแวก ( หากไม่มีสายสิญจน์ ให้ทุกผู้จุ่มนิ้วชี้ลงไปในขัน หรือภาชนะนั้นในขณะที่ผู้ที่นำกล่าวกำลังกล่าวอุทิศส่วนกุศลอยู่ในขณะนั้น )


 
ราคาปัจจุบัน :     739 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    hajaba (197)

 

Copyright ©G-PRA.COM