(0)
646 รูปหล่อโบราณ เจริญพร ๘๗ เนื้อชนวนผสม พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะปัตตานี








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง646 รูปหล่อโบราณ เจริญพร ๘๗ เนื้อชนวนผสม พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะปัตตานี
รายละเอียดพ่อท่านเขียว กิตฺติคุโณ วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี ตอน หลักใจของชาวไทยแผ่นดินใต้
เทพเจ้าฝ่ายบู๊แห่งเมืองลังกาสุกะ คือฉายาที่ชาวบ้านในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวยกย่อง “พ่อท่านเขียว กิตฺติคุโณ” แห่ง “วัดห้วยเงาะ” จังหวัดปัตตานี
แน่นอนครับว่าแค่ฉายาก็พอที่จะบ่งบอกได้ว่า แต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์ที่มีผู้รอดพ้นอันตราย พวกเขาเหล่านั้นต่างโดนกันมาหนักหน่วงขนาดไหน
ส่วนตัวแล้วผมเองได้แต่ติดตามท่านจากข่าวสารต่างๆ ไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสองค์จริงของท่าน จนเมื่อพวกเราได้ลงขันกันจัดสร้างเหรียญหลวงพ่อทวดเพื่อแจกแก่ตำรวจ ทหารและเจ้าหน้าที่ในเขต ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
แผนงานของการเสกส่วนที่ถือเป็นหัวใจสำคัญจะขาดเสียมิได้คือการขอพึ่งบารมีพ่อท่านเขียว ความจำเป็นของงานคือสิ่งที่บันดาลโอกาสให้กับผม เพราะจุดนี้เองทำให้ผมได้มีโอกาสพบท่านเป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องบอกว่าความเมตตาของท่านที่มีกับผมและหมู่คณะในวันนั้น ทำให้ผมและเพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ประจักษ์ชัดในบารมีและพลังจิตของท่าน
จริงอยู่ถึงแม้การพบและได้เห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่มันเป็นความประทับใจที่ทำให้พวกเราต้องเพียรพยายามเดินทางมากราบท่านถึงวัด 
การเดินทางมาบ่อยครั้งและได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ผมทราบว่านอกจากวัตถุมงคลของท่านจะมีประสบการณ์ด้านคงกระพันและแคล้วคลาดอย่างชัดเจนแล้ว ท่านยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ยุคปัจจุบันที่มากด้วยภูมิความรู้หลายต่อหลายด้าน อาทิเช่น การใช้สมุนไพรรักษาโรค การแก้ไขดวงชะตา ฯลฯ และที่เหนืออื่นใดคือท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ซึ่งตรงจุดนี้กระมังที่ส่งผลให้ท่านสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างไห้ได้ครับอย่างไรก็ตามครับถึงผมจะมีข้อมูลและประสบการณ์ของท่านที่ได้รับมาจากการเล่าสู่กันฟัง ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่ถูกรื้อค้นมาจากลิ้นชักความทรงจำ แต่การทำความรู้จักและการทำความเข้าใจในเรื่องของแนวคิด วัตรปฏิบัติและวิถีชีวิตของท่านอย่างแท้จริงนั้น คงต้องบอกว่ามันไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลยหากว่าเราไม่ได้พูดคุยและรับทราบเรื่องราวบางอย่างจากปากคำของท่าน
ว่ากันว่าเมื่อใดก็ตามที่เรื่องเล่าได้รับคำรับรองจากเจ้าของเรื่องว่าเป็นเรื่องจริง แผ่นกระดาษว่างเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวและความประทับใจที่เกิดขึ้นครับ
พวกเรานัดพร้อมกับที่หาดใหญ่ครับ เช้าตรู่ของที่นี่แม้ฝนจะปรอยลงมา แต่พวกเราก็ต้องเร่งรีบกันออกเดินทางครับ เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจังหวัดปัตตานีถือเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงแทบจะทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะในเขตวัดวาอารามต่างๆ อาทิเช่น วัดห้วยเงาะ วัดยางแดง วัดศรีมหาโพธิ์ ที่ตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่ประสงค์ดี ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสได้พบกับสถานการณ์ร้ายแรง
คำถามจึงมีอยู่ว่า
ชาวบ้านในพื้นที่...พวกเขามีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างไร?
ทำไมพวกเขาถึงสามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิต?
ต้องยอมรับว่าคำถามประเภทนี้ค่อนข้างตอบยากครับ เพราะเหตุผลสำคัญเกิดจากความจำเป็นของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
แต่ถ้าถามใหม่ว่าอะไรคือขวัญและกำลังใจที่ทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้ ไม่ยอมทอดทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด เชื่อได้เลยว่าในส่วนหนึ่งของจิตใจต้องมีบารมีของพ่อท่านเขียว เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยครับ
ภายในรถกระบะที่ปิดกระจกมืดสนิทและเต็มไปด้วยพวกเราที่นั่งเบียดอัดกันแน่นราวกับปลากระป๋อง พี่พล ยะลา-เพื่อนรุ่นพี่ที่สละเวลามาอำนวยความสะดวกในการเดินทางครั้งนี้ ได้ขับเคลื่อนกระบะคันเก่งพาพวกเราทะยานขึ้นสู่พื้นผิวถนน แกบอกว่าจากหาดใหญ่ไปถึงวัดห้วยเงาะใช้เวลาเดินทางไม่เกินสองชั่วโมง
ก่อนเข้าเขตจังหวัดปัตตานี เราพบจุดตรวจรักษาการณ์ของทหาร ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วความเข้มงวดของทางการมีส่วนอย่างมากในการเสริมสร้างความมั่นใจ อีกทั้งยังเป็นเหมือนการป้องปรามไปในตัว แต่ในอีกมุมหนึ่งกรณีของความเข้มงวดนี้ได้สะท้อนให้เรามองเห็นได้ว่า การมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อยู่ในพื้นที่มากขนาดนี้ ความปลอดภัยของชาวบ้านในพื้นที่จะมีมากขนาดไหน
“เพื่อนผมเป็นตำรวจทางหลวงอยู่ที่อำเภอโคกโพธิ์ คนหนึ่งเป็นพุทธ อีกคนเป็นอิสลาม ผมพาเพื่อนทั้งสองคนนี้เข้าไปหาพ่อท่านเขียว ท่านมองหน้าทั้งคู่แล้วหยิบปลัดขิกส่งให้คนละตัว คนที่เป็นอิสลามบอกว่าเขารับของพวกนี้ไม่ได้ พ่อท่านก็เลยยกปลัดขิกให้คนที่เป็นพุทธไปทั้งสองตัว”
“ต่อมาเพื่อนผมทั้งสองคนนี้ ได้เวียนมาเข้าเวรออกตรวจพื้นที่คู่กัน ระหว่างการเดินทางพวกเขาถูกซุ่มโจมตีด้วยอาวุธสงคราม รถพรุนไปทั้งคัน คนที่เป็นอิสลามตายคาที ส่วนคนที่เป็นพุทธและมีปลัดขิกของพ่อท่านเขียว วิถีของกระสุนเฉียดเข้าหน้าอกวนอ้อมตัวไปทะลุเบาะหลัง ไม่ได้รับอันตราย”
ประสบการณ์ตรงจากสารถี ที่ตรง แม่นยำและเข้าเป้า สามารถเรียกเสียงถอนหายใจได้พร้อมกันทั้งรถ
“จำได้ไหมครับว่าเป็นปลัดขิกรุ่นไหน?”
ใครบางคนเอ่ยขึ้นแต่ไม่มีคำตอบ..
พี่พลหรือจ่าพล ถือเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของพ่อท่านเขียวครับ แกเล่าว่าสมัยก่อนตอนเป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจ แกมีชีวิตที่ลำบากมากเพราะพื้นฐานครอบครัวจัดว่ายากจน ต่อมาแกได้มีโอกาสเข้ามาอุปฐากพ่อท่านเขียว แกว่าคำพร คำสอนของพ่อท่านเขียวได้ช่วยให้แกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แกว่าพ่อท่านเขียวชอบสอนให้คนขยันและทำงาน
พวกเราพยักหน้ารับ เพราะเท่าที่ทราบในเบื้องต้นต้องพูดคำว่ากว่า ๒๐ ปีแล้วที่พี่พลคนเดิมคนนี้ไม่เคยหนีห่างไปจากพ่อท่านเขียว ความสนิมสนมเป็นการส่วนตัวในระดับขับรถรับส่งพ่อท่านเขียวได้ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราจะได้ข้อมูลเชิงลึกในบางเรื่อง ขอเพียงแต่ต้องรู้จักจังหวะและรู้จักตั้งคำถาม เพราะด้วยระยะเวลาการเฝ้าปรนนิบัติที่นานขนาดนี้ต้องถือว่ามากพอที่แกจะซึมซับเรื่องราวต่างๆ ได้พอสมควร ซึ่งผลที่เราคาดการณ์ไว้ไม่ผิดหวังครับ
“มีเจ้าของกิจการใหญ่โตระดับประเทศโทรศัพท์มาที่ผมเพื่อสอบถามเส้นทางมายังวัดห้วยเงาะ เขาเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่กิจการของเขาตกต่ำมีหนี้สินล้นพ้นตัว ความสับสนในชีวิตทำให้เขาหันมาเข้าวัด
มีอยู่วันหนึ่งเขาได้เข้ามาไหว้พระที่วัดสุทัศน์ ซึ่งกำลังมีงานพุทธาภิเษก เขาเห็นพระแก่ๆ องค์หนึ่งกำลังเดินมา ก็เลยตรงเข้าไปกราบเพื่อขอของดี เขาเล่าว่าพระองค์นั้นยืนนิ่งและรับฟังความทุกข์ของเขาจนจบ
ก่อนแยกย้ายกันพระองค์นั้นได้คายชานหมากให้เขาและอวยพรให้เขามีชีวิตที่ดีสามารถพ้นปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ ไปได้ เขาว่าท่านบอกว่าท่านชื่อพระเขียว อยู่วัดห้วยเงาะ”
พี่พลอมยิ้มก่อนเล่ามหัศจรรย์แห่งชานหมากต่อว่า
“หลังจากที่เขานำชานหมากที่ได้รับมาแขวนคอ ภายในเวลาไม่กี่ปี เขาสามารถกอบกู้วิกฤติและฟื้นฟูกิจการได้จนเป็นผลสำเร็จ ตอนนี้สบายแล้วจึงได้ติดต่อมาที่ผมเพื่อถามเส้นทางมายังวัด ทุกวันนี้หากเขามีเวลาว่าง เขาก็จะเดินทางมากราบพ่อท่านเขียวอยู่เสมอๆ ครับ”
ประสบการณ์ตรงจากปากสารถีคนเดิม ทำให้พวกเราหันมาตกลงกันว่า พวกเราต้องมีความรอบคอบและเพิ่มความระมัดระวังในการเข้ากราบพ่อท่านเขียวมากขึ้นครับ เพราะขนาดว่าคำพรของท่านสามารถพลิกฟื้นชะตาชีวิตได้ แน่นอนเลยว่าคุณธรรมของท่านคงไม่ต้องพูดถึงกันละครับ
พวกเราขอร้องให้พี่พลช่วยเล่าถึงเรื่องสำคัญ คือความเชื่อในเรื่องที่ว่าพ่อท่านเขียวสามารถติดต่อและอัญเชิญหลวงพ่อทวดได้จริง
“ผมเชื่อสนิทใจว่าเป็นแบบนั้น”
น้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้นก่อนที่แกจะเริ่มเล่าถึงความเป็นมาทั้งในส่วนที่แกเชื่อเป็นการส่วนตัวและความเชื่อในแบบของส่วนรวมให้พวกเราฟัง ทั้งนี้แกว่าอยากให้พวกเราได้รับรู้ในสิ่งที่แกพบ และรับทราบในสิ่งที่พ่อท่านเขียวทำ
โดยเฉพาะการสร้างตะกรุดพิสมรอันเกรียงไกรและมากประสบการณ์
ซึ่งแกมีความเห็นและค่อนข้างมั่นใจว่าการสร้างตะกรุดพิสมรของพ่อท่านเขียวนั้นถือเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัวและคงจะสูญสิ้นกลายเป็นตำนานในทันทีที่หมดยุคของท่าน
แกเล่าว่า..ย้อนหลังไปประมาณยี่สิบปี ช่วงนั้นแกได้ข่าวว่าที่พัทลุงมีการประทับทรงหลวงพ่อทวดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน แกว่าด้วยการที่ตัวแกมีฐานะลำบากและต้องการให้ชีวิตมีความก้าวหน้า แกจึงตรงดิ่งไปหาร่างทรงรายนี้ แกเล่าว่าด้วยความตื่นเต้นปนความอยากรู้ แกจึงยิงคำถามแรกในแบบตรงเป้าทันที
“เป็นใคร”
“เจ้าพะโค๊ะ” ร่างทรงตอบ
“รู้จักตาหลวงเขียวหรือเปล่า?” แกถาม
“รู้จัก กูเป็นคนสอนวิชาให้มัน มันทำปลัดขิกเก่ง”
แกว่าคำตอบของร่างทรงทำเอาแกต้องนิ่งเงียบและขอตัวลากลับออกมาด้วยความฉงน
เช้าวันรุ่งขึ้น แกรีบขับรถไปหาพ่อท่านเขียว ประมาณว่าจะไปเล่าเรื่องการทรงหลวงพ่อทวดให้ท่านฟัง แกว่าพอเข้าสู่เขตวัด ความผิดปกติข้อแรกที่พบคือพ่อท่านเขียวออกมานั่งรอแกอยู่ที่หน้ากุฏิ
“มึงไม่ต้องเล่าอะไร กูรู้หมดแล้ว มึงไปเอาไม้ตะเคียนที่วัดตะเคียนทองมา กูจะทำปลัดขิกให้”
แกเล่าว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้เชื่อถืออะไรมากนัก หนักออกไปทางลืมๆ เลือนๆ เพราะเรื่องพ่อท่านเขียวมีฝีมือทางด้านปลักขิกนั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักดี แต่พอแกได้ยินสิ่งที่พ่อท่านเขียวพูด แกว่าพาลจะเป็นลม มันเหมือนเอาไม้คมแฝกมาฟาดเข้าตรงหน้าน้ำตาแทบจะไหลด้วยความปิติ
ในส่วนของความเชื่อแบบรวมๆ ที่รู้กันไปทั่วภาคใต้นั้น เรื่องมีอยู่ว่า
ย้อนหลังไปในช่วงปี ๒๕๔๗ ก่อนที่จะเหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเริ่มทวีความรุนแรง มีอยู่วันหนึ่งแกได้เข้าไปอุปฐากพ่อท่านเขียวตามปกติ พ่อท่านเขียวได้ใช้ให้แกไปหาซื้อแผ่นตะกั่วเพื่อจะเอามาทำตะกรุดพิสมร โดยพ่อท่านเขียวได้เล่าให้แกฟังว่า หลวงพ่อทวดได้มาปรากฏตัวข้างๆ ท่านและได้สอนตัวยันต์และคาถา เพื่อให้ท่านได้ทำตะกรุดออกมาแจกจ่ายชาวบ้านไว้คุ้มครองตัว ซึ่งแกได้สัพยอกอย่างคุ้นเคยว่า
“เป็นความฝันหรือเปล่าอาจารย์?”
“กูไม่ได้ฝัน หลวงพ่อทวดมานั่งข้างๆ กูจริงๆ”
น้ำเสียงที่หนักแน่นทำให้แกต้องหุบปากและรีบขับรถเข้าตัวเมืองยะลาเพื่อหาซื้อแผ่นตะกั่ว
แกหัวเราะก่อนเล่าต่อว่าในช่วงแรกไม่มีใครสนใจในเรื่องนี้ แต่พ่อท่านเขียวก็ไม่ได้สนใจอะไร ท่านก้มหน้าก้มตาจารตะกรุดขึ้นเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อผู้ที่ได้รับไปและมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน ทำให้ชาวบ้านต่างพากันแห่มาขอรับจากพ่อท่านเขียวไปจนหมด
แกเล่าว่าหลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ความไม่สงบก็ได้เริ่มประทุขึ้นและขยายความรุนแรงเป็นวงกว้างมาจนถึงทุกวันนี้ ตรงตามที่พ่อท่านเขียวได้กล่าวไว้
พวกเราถามแกว่ายังพอมีตะกรุดเหลืออีกไหม แกหัวเราะก่อนบอกว่ามีเหลือติดคอแค่เพียงดอกเดียว
หลังจากที่นั่งสนุกกับการเป็นผู้รับฟังมาพอสมควร กระบะคันเก่งก็เคลื่อนตัวผ่านสะพานเล็กที่มีชาวบ้านนั่งขายของกันอยู่เต็มข้างทาง ก่อนที่จะลอดซุ้มประตูวัดและตรงไปจอดยังกุฏิที่พ่อท่านเขียวใช้จำพรรษา
ภายในกุฏิเราพบพระภิกษุสูงวัย ผิวดำ รูปร่างสันทัด กำลังนั่งอ่านหนังสือสวดมนต์ รอบๆ ตัวท่านมีหนังสือเกี่ยวกับศาสนาวางกองอยู่หลายเล่ม ท่านเหลือบสายตาขึ้นมามองพวกเราก่อนที่จะก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างเดิม หลังจากที่พี่พลดูแลเรื่องความสะอาดและเรียนให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ที่พวกเราเดินทางมา ท่านพยักหน้าเชิงอนุญาต ก่อนที่จะหันมาเล่าให้พวกเราฟังว่า
พ่อท่านเขียวมีชื่อเดิมว่า “เขียว เพ็ชรภักดี” เกิดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ๒๔๗๒ ท่านเป็นบุตรของ “นายทอง-นางกิ๊ม เพ็ชรภักดี” ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพกระดูกสันหลังของชาติ ชีวิตในวัยเด็กของท่านก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กๆ ตามบ้านนอกเท่าใดนัก ยกเว้นแต่จิตใจที่มีเมตตาและใฝ่ในเรื่องไสยศาสตร์ ท่านเล่าว่าหลังจากจบชั้นประถมปีที่ ๔ บิดาของท่านได้ถึงแก่กรรม ด้วยฐานะของครอบครัวที่ยังไม่มีความมั่นคง ท่านจึงได้ตัดสินใจออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
จวบจนเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดบุพนิมิต (วัดนางโอ) เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๔๙๒ โดยมีพระครูมนูญสมณการ วัดพลานุภาพ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต วัดนาประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทอง จนฺทโชโต วัดภมรคติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังงานอุปสมบทเสร็จสิ้นท่านได้เข้าจำพรรษา ณ วัดบุพนิมิต (วัดนางโอ) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและคาถาอาคมจาก “พระอธิการดำ ติสสโร” เจ้าอาวาสวัดนางโอในขณะนั้น ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยใฝ่เรียนทำให้ไม่นานนักท่านก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอธิการดำจนจบสิ้น ก่อนที่จะก้าวเข้าไปเรียนวิชากับ “ตาเลี่ยม” ฆราวาสจอมอาคมแห่งแม่ลาน
ท่านเล่าว่าจริงๆ แล้วเรื่องของคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์ ไม่ได้อยู่ในตำราหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า หากแต่ในฐานะของความเป็นพระที่ต้องมีหน้าที่สงเคราะห์คนให้เขาได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เอาไว้ ท่านย้ำกับพวกเราว่าใช้สำหรับสงเคราะห์เท่านั้น และหลักใหญ่ใจความของผู้ที่ร่ำเรียนวิชาคือต้องมีคุณธรรม
“เกิดเป็นคนต้องทำความดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ธรรมะก็ไม่เกิด เครื่องรางของขลังไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรายึดมั่นในการกระทำความดี”
ท่านเล่าว่าชีวิตของคนเราเต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยท่านได้ยกตัวอย่างให้พวกเราเห็นภาพว่าตัวท่านเองที่ผ่านมาก็โดนคำพูดเยาะเย้ยถากถางต่างๆ นาๆ แต่ท่านก็ได้ใช้วิธีนิ่งเงียบและมองปัญหาทุกอย่างที่มีเข้ามาด้วยความสงบ ท่านว่าความสงบนี่แหละช่วยให้เกิดปัญญา
“ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาเมื่อฟังคนพูดแล้วเราก็จะนิ่ง หรือไม่ก็เดินหนีไม่เข้าไปต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเรามั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยธรรมะ หมั่นไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตของเราว่าง ไม่ฟุ้งซ่าน และมองทุกอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย สรรเสริญ นินทา เป็นเรื่องธรรมดา”
ว่ากันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของคนแต่ละคน ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ เส้นทางชีวิตของพ่อท่านเขียวก็ไม่ต่างกันครับ หากแต่ว่าอะไรที่เป็นต้นทุนทางความคิดให้ท่านได้ยืนหยัดเป็นหลักใจของชาวบ้านในทุกวันนี้
“บวชเป็นพระไม่มีเมตตา ไม่สงเคราะห์คน จะมีประโยชน์อะไร”
ความเมตตามีประโยชน์อย่างไรครับ?
“ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นเกราะคุ้มครองเรามากเท่านั้น”
ใครหลายต่อหลายคนบอกว่าพ่อท่านเขียวเป็นพระที่มีวิชาดี มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่อดีต?
“คนเราชอบฟังนิทาน พรสวรรค์อะไรเราไม่รู้จัก การจะทำอะไรให้สำเร็จต้องมีความมุ่งมั่นและขยันหาโอกาส”
ฟังแล้วก็ต้องอมยิ้มครับ ความสูงวัยไม่มีผลต่อความรวดเร็วทางปัญญาเลย ท่านสามารถแทรกคำสอนเกี่ยวกับการทำมาหากินได้จริงๆ ซึ่งพี่พลกระซิบว่าโดยปกติท่านไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ซักถามท่านมากมายขนาดนี้ ยกเว้นแต่ท่านจะพูดขึ้นเอง แต่โอกาสแบบนั้นก็มีน้อยมาก สุดท้ายแกก็บอกว่าให้พวกเรารีบๆ หน่อย
ชะรอยพ่อท่านเขียวคงจะมีพรายกระซิบ ท่านหันมาจ้องที่พวกเราซึ่งพวกเราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะหันไปถามท่านว่าในบรรดาเครื่องรางของขลังนานาชนิดนี้ เวลาเอามาร่วมๆ กัน เพราะอะไรท่านจึงสามารถเสกแยกได้อย่างถูกต้อง
“มึงเรียนมาขนาดนี้ มึงดูอะไรไม่ออกเลยหรือ?”
คำถามแทนคำตอบของท่านทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า คำเตือนของพี่พลน่าจะเป็นความจริง แต่ในเมื่อเรามีโอกาสแล้วขออีกสักคำถามน่าจะดี
“ทำไมพ่อท่านถึงสามารถติดต่อหลวงพ่อทวดได้ครับ?”
“ทำให้ถูกที่ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ถูกเวลา”
พ่อท่านเขียวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มเก่าๆ ขึ้นมาพลิกอ่าน ซึ่งตามนัยนั้นเป็นรหัสสัญญาว่าการสนทนาสมควรแก่เวลาแล้ว
พระครูอนุศาสน์กิจจาทร หรือตาหลวงเขียว แห่งวัดห้วยเงาะ พระเกจิอาจารย์ผู้เป็นดั่งหลักใจของชาวไทยแผ่นดินใต้ ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาทำให้ท่านตกผลึกและยึดมั่นในหลักการตอบโต้ปัญหาทุกอย่างด้วยความนิ่งสงบ ด้วยท่านถือว่าการกระทำในลักษณะนี้จะเป็นประโยชน์และมีคุณค่ามากกว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่รุนแรง
จริงอยู่ถึงแนวทางนี้จะไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่อย่างน้อยการที่ตัวท่านเองดำเนินชีวิตประจำวันอย่างสงบท่ามกลางความขัดแย้ง ก็ยังช่วยให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รู้จักคิดและสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความหวัง
“คนเราจะต้องมองและอยู่แบบมีความหวังให้มาก จะมาอยู่แบบรอวันตายไม่ได้ ถ้าคิดแต่จะรอวันตาย ใจของเราก็จะอ่อนแอและไม่สู้”
ว่ากันว่ามนุษย์เราหากตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ความเชื่อในสิ่งที่ทำจะเป็นพลังผลักดันให้เราทำในสิ่งที่เชื่อ
หากเชื่อว่าความสุขคือความสงบ ก็จงทำความสงบให้เกิดกับแผ่นดินด้วยใจที่เป็นสุขกันเถอะ....สวัสดีครับ
ราคาเปิดประมูล150 บาท
ราคาปัจจุบัน180 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ30 บาท
วันเปิดประมูล - 14 ธ.ค. 2560 - 16:40:18 น.
วันปิดประมูล - 16 ธ.ค. 2560 - 00:59:53 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลkon2004_9 (7.8K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     180 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     30 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    Mewindy (7.8K)(21)

 

Copyright ©G-PRA.COM